ทำความรู้จัก SEO กับ SEM สองความหมายที่หลายคนยังสับสน

การทำธุรกิจในยุคนี้ “เว็บไซต์” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เปรียบเสมือนหน้าร้านบนโลกออนไลน์ ซึ่งการจะโปรโมตเว็บไซต์เพื่อขยายฐานลูกค้านั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่แนวทางที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือการทำ SEO กับ SEM

ทีนี้ คำถามที่เหล่านักการตลาดไปจนถึงเอเจนซีทั้งหลายมักได้รับก็คือ SEO กับ SEM นั้น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน แต่ก่อนที่จะไปหาคำตอบเหล่านั้น เราอยากให้ทุกคนได้เข้าใจความหมายระหว่างสองสิ่งนี้ก่อน ว่า SEO กับ SEM คืออะไรกันแน่

SEO กับ SEM คืออะไร

SEO (Search Engine Optimization)

SEO หรือ Search Engine Optimization คือ กระบวนการที่จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์เราติดอันดับ (Ranking) บนหน้าแรกของระบบ Search Engine ทั้งหลาย อาทิ Google, Bing, Yahoo เป็นต้น โดยจะใช้คำค้นหาหลัก หรือคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เกี่ยวข้อง เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนลำดับอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องซื้อโฆษณา แต่ต้องอาศัยองค์ประกอบหลักอย่างเนื้อหาที่เป็น “บทความ” และปัจจัยต่าง ๆ ที่ร่วมประกอบสร้างอยู่ด้วยกันในบทความ ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้

On-Page SEO

On-Page SEO หรือที่เรียกกันว่าการทำ SEO แบบออนไซต์ (Onsite) คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของข้อความทั้งหมดที่เราสามารถควบคุมแก้ไขได้บนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้หน้าเว็บไซต์ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้งานและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก สมาร์ตโฟน และแท็บเล็ต รวมถึงการจัดทำบทความประเภทบล็อก (Blog) ด้วย โดยจะต้องมีการแทรกคีย์เวิร์ดกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ บนเว็บไซต์แต่ละหน้า ในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป จุดประสงค์เพื่อเป็นการปรับปรุง เตรียมพร้อม และจัดระเบียบเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ผ่านช่องทางการค้นหา ซึ่งจะช่วยให้บอตของ Google สามารถตรวจสอบเว็บไซต์เราได้ง่ายขึ้น อันจะมีผลต่อคะแนนเว็บไซต์ด้วย

Off Page SEO

Off-Page SEO หรือการทำ Outreach หรือ Link Building คือ การนำส่งบทความที่มีการแทรกคีย์เวิร์ดหลักพร้อมกับลิงก์ที่ชี้กลับมายังหน้าเว็บไซต์ของเรา โดยเนื้อหาในบทความจะต้องสอดคล้องหรือเกี่ยวข้องกับหน้าเว็บไซต์ที่จะลิงก์กลับมาด้วย ซึ่งในขั้นตอนนี้ ถือเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือจากนอกเว็บไซต์ของเรา เพราะ Google มักจะให้คะแนนกับเว็บไซต์ที่มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เชื่อมโยงภายในเว็บไซต์เดียวกันเพียงอย่างเดียว

Technical SEO

Technical SEO คือ กลยุทธ์ด้าน SEO ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่บอตของ Google ให้สามารถรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ ตีความ และจัดทำดัชนีหน้าเพจทั้งหมดบนเว็บไซต์ของเราเพื่อนำไปใช้ต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น การทำ Sitemap หรือ แผนผังเว็บไซต์ ซึ่งมีหน้าที่แสดงภาพรวมของเว็บไซต์ว่ามีอะไรบ้าง ด้วยการรวบรวมลิงก์ของหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์มาไว้ในหน้าเดียว หรืออาจกล่าวง่าย ๆ ก็คือหน้าสารบัญของเว็บไซต์นั่นเอง โดย Sitemap จะมีโครงสร้างที่ละเอียด ช่วยให้บอตสามารถรวบรวมข้อมูลเว็บเพื่อนำไปจัดเรียงและจัดหมวดหมู่หน้าเว็บฯ ของเราตามประเภทของเนื้อหาที่มีได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี SEO เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ของ SEM เท่านั้น ! ซึ่งจะอธิบายเกี่ยวกับ SEM ในส่วนถัดไป

สามารถอ่านความหมายและรายละเอียดของ SEO เพิ่มเติมได้ที่ : SEO คืออะไร? สำคัญอย่างไร? ตอบทุกคำถามจบในที่เดียว

Image

SEM (Search Engine Marketing)

เป็นคำเรียกวิธีการทำการตลาดบน Search Engine โดยมี 2 วิธีการหลัก ๆ นั่นคือ SEO ดังที่กล่าวไปข้างต้นและ PPC หรือ Pay Per Click แต่ในบางแหล่ง SEM ก็หมายถึงในส่วนของ PPC เท่านั้น โดย PPC คือ การซื้อโฆษณาโดยมีการเรียกเก็บเงินในรูปแบบ “จ่ายตามจำนวนคลิก” หรือเป็นเว็บไซต์ที่จะมีคำว่า “Ad” อยู่ด้านหน้า เมื่อเราเซิร์ชคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับเว็บไซต์นั้น ๆ บน Google นั่นเอง

ในการทำ PPC ผู้ทำจะต้องประมูลคีย์เวิร์ดเพื่อที่จะให้โฆษณาปรากฎเมื่อมีการค้นหาใน Search Engine นั้น ๆ โดยโฆษณาจะแสดงที่ตำแหน่งใดนั้น จะถูกกำหนดโดยค่าประมูลที่เรียกว่า Max. CPC หรือ Maximum Cost Per Click หรือก็คือ การกำหนดเพดานราคาที่เราจะต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์ม (ในที่นี้คือ Google) ว่าจะต้องจ่ายครั้งละไม่เกินเท่าไร รวมไปถึง Quality Score ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยด้วย โดยหากคีย์เวิร์ดที่ประมูลตรงกับสิ่งที่โฆษณาและตรงกับหน้าเว็บไซต์ ก็จะได้คะแนนที่สูงกว่า ในทางกลับกัน การประมูลคำที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการโฆษณา จะทำให้ค่า CPC ของแต่ละคีย์เวิร์ดไม่เท่ากัน ยิ่งคีย์เวิร์ดไหนเป็นที่นิยมมีคนค้นหามาก คู่แข่งในการประมูลมาก ราคาประมูลของคำนั้น ๆ ก็จะสูงตามไปด้วย

ทั้งนี้ ข้อได้เปรียบของการทำ PPC คือ โฆษณาที่ทำจะเห็นผลได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาเตรียมการนานเท่ากับการทำ SEO กล่าวคือ เราจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาที่อยู่อันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหา ใครจ่ายมากกว่าก็จะได้อยู่อันดับที่สูงกว่า อีกทั้งยังสามารถปรับเพิ่มคีย์เวิร์ดได้ตลอดเวลา ต่อให้มีเว็บไซต์เพียงหน้าเดียว อาทิ Landing Page ก็สามารถทำได้ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แบบทันทีทันใด แต่การซื้อโฆษณาแบบ PPC จะเสียเปรียบ SEO ตรงที่ เมื่อเราหยุดจ่ายเงิน โฆษณาก็จะหยุดตามไปด้วย ต่างจาก SEO ที่เมื่อทำไปแล้วจะเห็นผลในระยะยาวได้ดีกว่า กระนั้น SEO ก็ไม่สามารถวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ ต่างจาก PPC ที่สามารถวัดผลเป็นข้อมูลให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ เพื่อใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ต่อไปได้

Image

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

ทั้ง SEO และ SEM หรือ PPC นั้น ถือเป็นการทำการตลาดบน Search Engine ทั้งสิ้น กล่าวคือ มีการใช้คีย์เวิร์ดเป็นตัวกำหนดเหมือนกัน และต้องมีหน้าเว็บไซต์รองรับเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าชมรายละเอียดได้ โดยทั้งสองแบบล้วนมีวิธีการทำ จุดเด่น และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้

ค่าใช้จ่าย

  • PPC: มีค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเข้าไปชมเว็บไซต์ โดยราคาต่อคลิกจะขึ้นอยู่กับการประมูลคีย์เวิร์ด แต่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนดได้
  • SEO: ไม่มีค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเข้าไปชมเว็บไซต์ แต่อาจมีค่าดำเนินการในส่วนอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ให้สามารถติดอันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหา โดยหากเป็นคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย

ระยะเวลา

  • PPC: สามารถแสดงโฆษณาได้รวดเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโปรโมตแคมเปญระยะสั้น หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
  • SEO: ต้องใช้เวลาปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาบนเว็บไซต์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเห็นผล ซึ่งบางทีอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่บางทีก็ใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความยาก-ง่ายของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ และคู่แข่ง จึงเหมาะสำหรับการทำการตลาดระยะยาว

การแสดงผล

  • PPC: สามารถกำหนดการแสดงผลได้ เช่น วัน เวลา แต่หากประมูลคีย์เวิร์ดมาในราคาต่ำเกินไป หรือมีงบประมาณน้อย โฆษณาก็จะไม่สามารถแสดงได้ตลอด เพราะถ้าหากงบประมาณหมดและไม่ได้จ่ายค่าโฆษณาต่อ โฆษณาก็จะหายไปทันที
  • SEO: สามารถแสดงผลได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่อันดับอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เนื่องจาก Search Engine มีการอัปเดตอยู่ตลอด ทั้งนี้ หากมีการทำผิดกฎของ Search Engine เว็บไซต์ของเราก็สามารถหายไปจากหน้าผลการค้นหาได้เช่นเดียวกัน

การบริหารจัดการ

  • PPC: สามารถใช้ผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียวในการจัดการโฆษณาได้ โดยสามารถปรับปรุงโฆษณาให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าใช้จ่ายมากที่สุด
  • SEO: อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในหลายส่วน เช่น นักพัฒนาเว็บไซต์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO นักเขียนบทความ ฯลฯ เพื่อคอยปรับปรุงเว็บไซต์และรักษาอันดับอยู่ตลอด

ความน่าเชื่อถือ

  • PPC: เมื่อเห็นคำว่า “Ad” ที่บ่งบอกว่าเป็นโฆษณา ผู้ใช้บางรายอาจรู้สึกไม่อยากคลิก แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังถือเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ได้ เพราะโฆษณาจะแสดงอยู่ในอันดับต้น ๆ และถ้าหากไม่มีคนคลิก เราก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
  • SEO: ผู้ใช้หลายรายจะให้ความน่าเชื่อถือเว็บไซต์ที่ติดอยู่บนอันดับต้น ๆ ของ Search Engine มากเป็นพิเศษ ทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการได้ง่ายขึ้น

SEO กับ SEM สองสิ่งที่ไม่ควรแยกออกจากกัน

อย่างที่กล่าวไปว่า SEO คือส่วนหนึ่งในกระบวนการการทำ SEM ดังนั้น เฉกเช่นเดียวกับการทำการตลาดทุกประเภท นั่นคือเราไม่ควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งให้เป็นหนทางแบบเบ็ดเสร็จ เพราะเราจะสูญเสียผลประโยชน์ที่อาจกลายเป็นของเราไปอย่างน่าเสียดาย ในกรณีนี้คือ SEO กับ PPC ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของกระบวนการและผลลัพธ์บางอย่าง ทำให้เราไม่ควรที่จะตัดสินว่าทำ SEO หรือ PPC อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะดีกว่าอีกอย่าง

สิ่งที่ควรเป็น ก็คือ “การทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป” โดยเหตุผลที่ควรทำไปพร้อม ๆ กัน ก็เพราะว่าการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะเริ่มเห็นผล ซึ่งส่วนมากจะอยู่ราว ๆ 3-6 เดือน และแน่นอนว่าระหว่างนั้น เราคงไม่อยากปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น PPC จึงเป็นทางออกที่จะช่วยให้โฆษณาค้นหาของเรามีประสิทธิภาพ และกระจายสู่ลูกค้าเป้าหมายได้ทั้งง่าย สะดวก และระยะเวลาสั้นกว่า ในขณะเดียวกัน หากเราเข้าใจเรื่อง SEO กับ PPC และทำทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน เมื่อเว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีจากการทำ SEO ก็จะส่งผลให้ Quality Score ของคำที่ประมูลในแคมเปญ PPC ดียิ่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

Image

เทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ด้วยการทำ SEO กับ SEM คู่กัน

มาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะเข้าใจแล้วว่าทั้ง SEO และ SEM สามารถนำกลยุทธ์มาปรับเข้าหากันเพื่อสนับสนุนข้อดีของแต่ละแนวทางได้ อันจะช่วยสร้างยอดขายให้ได้มากยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพมากกว่าการเลือกทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเราสามารถใช้เทคนิคดังต่อไปนี้

วิเคราะห์คีย์เวิร์ดจาก SEM เพื่อเอามาทำ SEO

เวลาเราทำโฆษณา ระบบของ Search Engine จะสามารถเก็บข้อมูลคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ได้ ว่าแต่ละคำมีการค้นหามากน้อยแค่ไหน และผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์ (Traffic) ที่มาจากคีย์เวิร์ดเหล่านั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการเลือกใช้คีย์เวิร์ดในการทำ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับแรก ๆ บนหน้าผลการค้นหาให้มากขึ้น และยิ่งถ้าตอนทำ SEM เราได้มีการติด Conversion Tracking เอาไว้ด้วย ก็จะยิ่งทำให้เก็บข้อมูลได้ลึกขึ้น ว่าคีย์เวิร์ดกลุ่มไหนบ้างที่จะทำให้เกิด Conversion

วิเคราะห์คีย์เวิร์ดจาก SEO เพื่อเอามาทำ SEM

นอกจากเราจะวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจาก SEM มาทำ SEO ได้แล้ว เรายังสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจาก SEO เพื่อทำ SEM ได้อีกด้วย โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ทำ SEO มาสักระยะ และเริ่มมีคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google บ้างแล้ว โดยเราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลคีย์เวิร์ดของ SEO จากเครื่องมือทางการตลาดต่าง ๆ เช่น Google Search Console แล้วลองดูว่ามีคีย์เวิร์ดไหนบ้างที่น่าสนใจ และมีโอกาสเพิ่มยอดคนเข้าเว็บไซต์ได้มากกว่านี้ แล้วนำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นไปใช้สำหรับการทำ SEM

ทดสอบ Landing Page จาก SEM ก่อนนำมาทำ SEO

หนึ่งในจุดเด่นของการทำ SEM คือ เราสามารถเปลี่ยนหน้า Landing Page สำหรับโฆษณาได้ตามต้องการ และสามารถทำ A/B Testing เพื่อทดสอบได้ว่าหน้าไหนทำให้เกิด Conversion หรือการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงที่สุด ซึ่งหากเราได้ข้อมูลในส่วนนี้แล้ว ก็จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่าผู้ใช้งานชอบหน้า Landing Page แบบไหน จากนั้น ก็นำหน้าดังกล่าวมาปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้ติดอันดับ SEO ต่อไป

เพิ่มอัตราส่วนการแสดงผลบนหน้าการค้นหา

หากเราทำ SEM และ SEO ในคีย์เวิร์ดเดียวกัน และเว็บไซต์แสดงผลทั้งสองส่วนพร้อมกัน ก็จะช่วยเพิ่มการแสดงผลของเว็บไซต์เราบนหน้าการค้นหาด้วย อันจะนำมาซึ่งโอกาสในการคลิกเข้าเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นตามมา รวมถึงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ แล้วยังเป็นผลบวกในด้าน Branding เพราะทุกครั้งที่ผู้ใช้งานค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับธุรกิจของเรา ก็จะเจอเว็บไซต์เราเสมอไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลบน SEM หรือ SEO ก็ตาม

 

สรุป

บทความนี้น่าจะพอไขความกระจ่างเรื่อง SEO กับ SEM ที่หลายต่อหลายคนยังสับสนว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ได้ แต่ใจความสำคัญที่เราอยากจะนำเสนอ คือ การให้นักการตลาดทำความเข้าใจถึงวงจรของการทำการตลาดดิจิทัลทั้งหมดว่า ไม่มีวิธีใดที่เป็นหนทางที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการตลาดแบบเซิร์ชหรือโซเชียลมีเดีย ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะพลิกแพลงเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพควรมี เพราะโลกดิจิทัลไม่มีกฎตายตัว ตราบใดที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังมีการอัปเดต หรือปรับอัลกอริทึมอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ โดยเราควรวางแผนให้รัดกุมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและระยะเวลา เพื่อให้โฆษณาที่ลงทุนทำไปเกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ถ้าหากไม่มีการวางแผน ก็อาจมีการใช้งบประมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งผลลัพธ์ของการโฆษณาก็มีโอกาสที่จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรือควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ติดต่อ Primal Digital Agency บริษัทรับทำการตลาดชั้นนำของไทยได้เลยวันนี้