การทำ A/B Testing คืออะไร สำคัญกับการทำการตลาดขนาดไหน

กลยุทธ์ในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ หรือออนไลน์ ต่างก็ไม่มีแบบแผนที่ตายตัว หรือสิ่งที่เรียกว่าสูตรสำเร็จที่สามารถนำมาใช้ได้กับทุกประเภทธุรกิจ หรือทุกแคมเปญการตลาด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดของการทำการตลาดก็คือ หากลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับแคมเปญนั้น ๆ ของคุณ

ในการทำการตลาดออนไลน์ การวัดว่าแคมเปญต่าง ๆ ได้ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่นั้น มี“Conversion” คอยกำกับอยู่ โดยคุณสามารถคำนวณหาค่า Conversion Rate เพื่อดูว่าแคมเปญนั้น ๆ ให้ผลตอบแทนที่ดีมากน้อยแค่ไหนได้ดังนี้

Conversion Rate = (ยอดรวมของ Conversion / จำนวนการเข้าชมหรือเข้าร่วมในส่วนนั้น ๆ) x 100

แต่ถึงแม้ว่าคุณจะหา Conversion Rate ออกมาได้แล้ว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแคมเปญทางการตลาดที่คุณทำอยู่จะเป็น “แคมเปญที่ดีที่สุด” ดังนั้นคุณควรจะลองทำ “A/B Testingร่วมด้วย

A/B Testing คืออะไร

A/B Testing คือกระบวนการทดลองเปรียบเทียบรูปแบบ องค์ประกอบของเว็บเพจ อีเมล หรือแคมเปญทางการตลาดที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่ารูปแบบหรือองค์ประกอบไหนมีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ (ค่า Conversion Rate) ที่ดีที่สุด 

ตัวอย่างเช่น คุณมีเว็บไซต์สองเวอร์ชันที่ออกแบบต่างกัน โดยแบบ A จะมีพื้นหลังสีเขียวซึ่งเป็นสีประจำแบรนด์ของคุณ กับแบบ B ที่ใช้พื้นหลังสีครีม แล้วคุณต้องการจะรู้ว่าพื้นหลังสีไหนที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์ รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์อื่น ๆ ดีกว่ากัน คุณก็สามารถตั้งค่าผู้ใช้งานให้ออกเป็นสองกลุ่มแล้วเลือกส่งกลุ่ม A ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่มีพื้นหลังสีเขียว ขณะเดียวกันก็ส่งผู้ใช้กลุ่ม B ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่มีพื้นหลังสีครีม

หลังจากที่คุณทำการทดสอบ A/B Testing แล้วเรียบร้อย คุณจะเห็นผลลัพธ์ว่าพื้นหลังสีไหนที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้งานใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงมีปฏิสัมพันธ์ที่มากกว่ากัน

a/b testing คือ

ประโยชน์ของการทำ A/B Testing

1. ให้ผลลัพธ์ที่ได้ผลจริง

ประโยชน์อย่างแรกของการทำ A/B Testing คือการที่คุณไม่ต้องคิดเอาเอง หรือคิดแทนผู้บริโภคว่าสิ่งไหนดีที่สุด คุณสามารถทดลองทำแล้วหาคำตอบได้ว่ารูปแบบ หรือองค์ประกอบแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีและตอบโจทย์มากที่สุด

2. เพิ่มยอด Conversion

จุดประสงค์หลักของการทำ A/B Testing ก็เพื่อหารูปแบบต่าง ๆ ที่จะสร้างยอด Conversion Rate ได้สูงที่สุด ดังนั้นการที่คุณทำการทดสอบ A/B Testing นี้คือการช่วยให้คุณเจอหนทางที่จะสร้างผลลัพธ์และยอด Conversion ได้สูงที่สุดตามที่ควรจะเป็น

3. ลดโอกาสในการปรับเปลี่ยนบ่อย ๆ

การที่คุณปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือองค์ประกอบของเว็บไซต์ หรือแม้แต่คอนเทนต์ต่าง ๆ ที่คุณนำเสนอบ่อยครั้งนั้น มันอาจจะมีผลดีในแง่ของการที่คุณสามารถอัปเดตให้เท่าทันยุคสมัยตลอดเวลา แต่สิ่งที่คุณจะเสียไปก็คือความเคยชินของผู้ใช้งานที่พวกเขามีภาพจำและวิธีการใช้งานแบบนั้นไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันคงจะดีกว่า ถ้าหากคุณไม่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อย ๆ ด้วยการเลือกใช้รูปแบบหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ต่อผู้ใช้งานไปเลย ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นประโยชน์ของการทำ A/B Testing ที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ด้วย

4. ลงยอด Bounce Rate

ในโลกการทำการตลาดออนไลน์นั้น ใคร ๆ ก็กลัวยอด Bounce Rate ที่สูงเกินกว่าค่ามาตรฐาน เพราะส่งผลให้บอตประมวลผลของ Search Engines วิเคราะห์ว่าเว็บไซต์มีคุณภาพไม่ดี ซึ่งการทำ A/B Testing คือทางเดียวที่ช่วยให้คุณรู้ว่ารูปแบบและองค์ประกอบแบบไหนที่ทำให้ยอด Traffic และระยะเวลาที่ผู้ใช้งานบนหน้าเว็บไซต์ของคุณมีมากยิ่งขึ้น

5. ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งาน

ประโยชน์ของการทำ A/B Testing ที่ช่วยให้คุณเพิ่มยอดปิดการขายคือ คุณจะได้ผลลัพธ์ว่าควรมีรูปแบบ องค์ประกอบ และการจัดวางปุ่ม Call-To-Action (CTA) แบบไหนที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์มากที่สุด ซึ่งนำไปสู่การปิดการขายอันเป็นผลลัพธ์สูงสุดของการทำการตลาด

ทำ A/B Testing กับอะไรได้บ้าง

1. รูปแบบและองค์ประกอบของเว็บไซต์

สิ่งที่นิยมนำมาทดลองในการทำ A/B Testing ก็คือรูปแบบและองค์ประกอบของเว็บไซต์ เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลถึงยอด Traffic และเวลาที่ผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณทั้งหมด รวมถึงรูปแบบและองค์ประกอบของเว็บไซต์ที่ดีนั้นสามารถดึงความสนใจและสร้างความประทับใจต่อผู้ใช้งานได้

2. ปุ่ม CTA

การทำปุ่ม Call To Action นั้นเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ แต่ปัญหาที่พบเจอกันบ่อย ๆ ก็คือ “ปุ่ม CTA” ควรจะอยู่ตรงไหน หรือแม้แต่มีลักษณะอย่างไร ซึ่งในส่วนนี้การทำ A/B Testing คือตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะธุรกิจแต่ละประเภท แคมเปญทางการตลาดแต่ละอันก็มีความแตกต่างกันไป ซึ่งปุ่ม CTA ก็จะมีความแตกต่างไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นการทดสอบดูว่าปุ่มแบบไหน อยู่ตรงไหน ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

3. ประโยค หรือ ข้อความ

อีกสิ่งหนึ่งที่นิยมนำมาทดลองในการทำ A/B Testing ก็คือรูปแบบการใช้ประโยคหรือข้อความในหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งหลายครั้งก็เกิดความสงสัยได้ว่า ควรใช้คำไหนดี หรือควรจัดเรียงแบบไหนดี ซึ่งคุณจะเสียเวลาในการเดาไปทำไม ในเมื่อคุณสามารถทดสอบดูได้ แล้วรู้ผลลัพธ์เลยว่าอันไหนดีที่สุด

4. คำบรรยายสินค้า

คำบรรยายสินค้า (Product Descriptions) ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นิยมลองมาทำ A/B Testing กัน เพราะถึงแม้ว่าในแง่การตลาดนั้น คำบรรยายสินค้าสั้น ๆ มักจะได้ผลดีกว่า แต่ก็ไม่ได้การันตีผลลัพธ์นั้นกับสินค้าทุกประเภท ดังนั้นการทำ A/B Testing จะช่วยตอบคุณได้ว่าการเขียนคำบรรยายสินค้าแบบไหนคือตัวช่วยในการส่งเสริมการขายได้ดีที่สุด

5. โฆษณาบน Social Media

การทำ Ads บน Social Media นั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยในการทำการตลาดออนไลน์ยุคปัจจุบัน แต่การที่คุณจะสร้างสรรค์โฆษณาหนึ่งอันให้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานซึ่งใช้เวลาในการเลื่อนดูหน้าข่าวสารเป็นหลักวินาทีนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นการทำ A/B Testing จะสามารถช่วยบอกคุณได้ว่าโฆษณารูปแบบไหน สามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดนั่นเอง

สรุป

การทำ A/B Testing นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับแคมเปญการตลาดที่หลากหลาย ไม่จำกัดเพียงตัวอย่างด้านบนที่เรายกไว้เฉย ๆ ในทางที่ดีนั้น คุณควรจะทำ A/B Testing บ่อยครั้งเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่คุณจะได้ผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นการคอยตรวจเช็กรูปแบบและประเภทของแคมเปญทางการตลาดอีกด้วยว่ ายังสามารถใช้ได้ผลดีอยู่หรือไหม เมื่อเวลาผ่านไป