เปิดเคล็ดลับการทำ Organic Content ให้ยอด Engagement ปัง

เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ Social Media เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว การจะสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) จึงจำเป็นต้องผันตัวเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ ด้วยการทำ Social Media Content ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย หรือที่เรียกว่าการทำ Organic Content ซึ่งหากเราสามารถทำออกมาได้ดี คอนเทนต์เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค อันจะนำมาสู่ Conversion ให้แก่แบรนด์ได้

บทความนี้จึงจะมาบอกเทคนิคการทำ Organic Content บน Social Platform ว่าควรทำอย่างไรบ้าง ให้ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) พุ่งแบบไม่เกรงใจใคร ! แต่ก่อนอื่น เรามารู้จัก Organic Content ให้มากขึ้นกันก่อนดีกว่า

ตัวอย่าง Organic Content

Organic Content คืออะไร

มี Social Media Content มากมาย ที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่กลับมียอดกดไลก์ กดแชร์ และคอมเมนต์จำนวนมาก จนทำให้มีผู้ติดตามเพจหรือลูกค้าที่มาซื้อสินค้ามากขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว หรือบางครั้งก็เป็นแค่การรีวิวสินค้าหรือบริการจากคนทั่วไปซึ่งเป็นเพียงลูกค้าธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์ แต่คอนเทนต์กลับถูกพูดถึงและส่งต่อเป็นวงกว้าง สิ่งนั้นเองคือ Organic Content ที่ถึงแม้จะดูเฉย ๆ ในบางที แต่อาจสร้างผลตอบรับที่ยิ่งใหญ่ได้

Organic Content คือ การทำคอนเทนต์ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายโดยตรง เว้นแต่จะมีการจ้าง Outsource ในกรณีที่ไม่สามารถทำเองได้ และเมื่อเผยแพร่ลง Social Media แล้ว ผู้ใช้งานก็จะเห็นคุณค่าในตัวคอนเทนต์นั้น ๆ ได้เอง โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินซื้อพื้นที่โฆษณา หรือ Boost Post ซึ่งการทำ Organic Content นั้น เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของตนเองคือใคร ต้องการอะไร และจะสร้างคอนเทนต์ให้ตรงใจกลุ่มคนเหล่านั้นได้อย่างไร

 

องค์ประกอบของ Organic Content มีอะไรบ้าง

Semrush Blog เว็บไซต์เผยแพร่องค์ความรู้ด้านการตลาดดิจิทัล ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญของ Organic Content ด้วยการนำข้อมูลจากคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพมาหาข้อมูลเชิงลึก ผลการศึกษาพบว่า Organic Content มีองค์ประกอบหลัก ๆ ได้แก่

หัวข้อ (Headline)

หัวข้อเนื้อหา คือส่วนแรกที่ผู้อ่านเห็นเมื่อเข้ามาดูคอนเทนต์ของเรา และเป็นส่วนที่จะขึ้นอยู่บนหน้า SERPs (Search Engine Result Pages) หรือหน้าผลการค้นหาบน Google ที่เชิญชวนให้ผู้อ่านคลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ ดังนั้น หัวข้อจึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงก่อนเขียน ดังนี้

  • หัวข้อต้องสามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านคลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ของเราได้
  • แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้อ่านจะได้รับตั้งแต่หัวข้อ
  • สื่อสารได้ถึง Brand Voice และ Mood and Tone ที่ต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย
  • มีความยาวที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 60 ตัวอักษร

ภาพหรือวิดีโอประกอบเนื้อหา (Visual Content)

ภาพหรือวิดีโอประกอบเนื้อหา ถือเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ เพราะไม่ใช่แค่เป็นตัวช่วยในการอธิบายรายละเอียดเนื้อหาให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปสู่ประเด็นอื่น ๆ ด้วย เช่น

  • User Experience (UX) กล่าวคือ ภาพหรือวิดีโอประกอบเนื้อหาจะช่วยส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้อ่านให้ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก Visual Content เปรียบเสมือนจุดพักสายตา ทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกว่าต้องอ่านข้อความที่ยาวเกินไป
  • จากการศึกษาพบว่า จำนวนของภาพหรือวิดีโอที่มากขึ้นในเนื้อหา ส่งผลต่อประสิทธิภาพของเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ แนวทางการทำ Visual Content ที่น่าสนใจ ได้แก่

  • เปลี่ยนจากข้อมูลแบบลิสต์เป็นข้อ ๆ มาเป็นรูปภาพแทน
  • หาวิดีโอ หรือ Gifs ประกอบ ที่สามารถช่วยอธิบายข้อมูลที่ต้องการบอกแก่ผู้อ่าน
  • นำข้อมูลที่เข้าใจได้ยากมาอธิบายให้อยู่ในรูปแบบของตาราง หรืออินโฟกราฟิก

คุณภาพของเนื้อหา (Content Quality)

คุณภาพของเนื้อหาสามารถส่งผลต่อ Organic Traffic ที่เพิ่มขึ้น โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • หัวข้อเนื้อหา
  • ความน่าเชื่อถือของเนื้อหา
  • ภาษาที่ใช้ในการเขียนมีความเหมาะสมในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย
  • ประเภทของเนื้อหาสอดคล้องกับประเภทของธุรกิจ

 

รูปแบบ Organic Content บน Social Platform

รู้จักองค์ประกอบของ Organic Content กันไปแล้ว ทีนี้ เรามาดูกันว่ามี Organic Content รูปแบบใดบ้างที่หลายธุรกิจนิยมทำกันบน Social Media แล้วประสบความสำเร็จ

คอนเทนต์ที่สอดคล้องกับเทรนด์ ณ เวลานั้น

คอนเทนต์รูปแบบนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะอะไรที่เกี่ยวกับเทรนด์ปัจจุบันมักเป็นที่สนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเสมอ แบรนด์ต่าง ๆ จึงมักหยิบยกกระแสสังคมต่าง ๆ มาทำเป็นคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับธุรกิจของตนเอง หรือที่เรียกว่าเป็นการทำ Real-Time Marketing นั่นเอง โดยคอนเทนต์ประเภทนี้เราไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาที่จะทำได้ เพราะเทรนด์คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเทรนด์อะไรขึ้นเมื่อไร แต่สิ่งสำคัญคือ “ความไว” ธุรกิจไหนไวกว่าก็ย่อมได้เปรียบกว่า เพราะผู้ใช้งานก็จะเห็นคอนเทนต์นั้น ๆ ก่อน แล้วกดไลก์ กดแชร์ก่อน พอเห็นคอนเทนต์ในลักษณะเดียวกันซ้ำอีกก็ไม่รู้สึกว่าน่าตื่นตาตื่นใจอีกต่อไป

คอนเทนต์ที่สร้างการจดจำแบรนด์

ทุก ๆ แบรนด์จะมีอัตลักษณ์บางอย่างที่สามารถสร้างการจดจำแก่สังคมได้ เช่น มาสคอตหรือโลโก้ที่ผู้บริโภคเห็นแล้วจะนึกถึงแบรนด์นั้น ๆ ทันที โดยเราสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวหลักในการทำคอนเทนต์ได้ตลอดทุกครั้ง ทุกเวลา ตัวอย่างเช่น คลิปไวรัลของธนาคารกรุงศรีที่ใช้มาสคอตกล้วยเพื่อนำเสนอแบรนด์ ด้วยการเต้นท่าตลก ๆ สนุกสนานเพื่อให้ผู้พบเห็นถ่ายคอนเทนต์มาลง Social Media เรียกได้ว่าเป็นคอนเทนต์แบบ Organic สุด ๆ เพราะมีลูกค้าถ่ายมาลงโปรโมตให้โดยที่เจ้าของแบรนด์ไม่ต้องเสียค่าจ้างทำคอนเทนต์เลยสักบาท

คลิปวิดีโอแบบเรียลไทม์ ไม่ผ่านการปรับแต่ง

เชื่อว่าต้องมีเจ้าของแบรนด์บางท่านที่กำลังอ่านบทความนี้ เคยประสบความสำเร็จกับการโพสต์รูปที่ไม่ผ่านการใส่ฟิลเตอร์ หรือรูปที่ไม่ผ่านการปรับแต่งกันมาบ้างแล้ว แต่แนะนำว่านอกจากรูปภาพ เราควรทำคอนเทนต์ประเภทวิดีโอด้วย เพราะผู้ชมสมัยนี้ให้ความสนใจกับคลิปวิดีโอสั้นกันมาก โดยแนวทางการทำวิดีโอแบบเรียลไทม์คือ ต้องถ่ายสดแบบไม่มีการวางแผนล่วงหน้า หรือถ้าหากมี ก็ต้องทำให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเหมือนไม่ตั้งตัวจริง ๆ และที่สำคัญคือต้องถ่ายกันเอง ให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายเล่นมากกว่าเตรียมตัวมาอย่างดี เพราะจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอินได้ง่ายกว่า

คอนเทนต์ที่ชวนให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วม

คอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดให้ผู้คนที่เลื่อนผ่านไปผ่านมา หยุดไถฟีดแล้วมาอ่านโพสต์ของเราได้นั้น มักเป็นโพสต์ที่ทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วม ด้วยการแชร์ประสบการณ์หรืออะไรขำ ๆ ที่ชวนให้ผู้อ่านรู้สึกว่า “เออ จริงด้วย” “เราก็เคยเป็นแบบนี้นี่นา” “ไม่ใช่เราคนเดียวสินะที่เป็นแบบนี้” ฯลฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดการแชร์ต่อหากันจนเป็นไวรัลได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น คอนเทนต์ที่มีมุกตลกแฝงอยู่เช่นนี้ จะทำให้กลุ่มเป้าหมายได้เรียนรู้ตัวตนในด้านอื่น ๆ ของแบรนด์มากขึ้น รวมถึงช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ให้เข้ามาสนใจแบรนด์ได้อีกด้วย

 

สรุป

ดังนั้น Organic Content จึงเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพง ๆ ในการซื้อพื้นที่โฆษณา หรือจ้างคนดังมารีวิวสินค้าให้ เพราะต่อให้เราใช้ต้นทุนสูงขนาดไหน แต่ถ้าเนื้อหาไม่น่าสนใจ หรือไม่ดึงดูดให้ผู้อ่านคลิกเข้ามา การทำคอนเทนต์ของเราก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่เราควรทำคือการทำคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องผ่านข้อความ อินโฟกราฟิก วิดีโอ หรือรูปภาพ ก็จำเป็นต้องผ่านการออกแบบและวางแผนมาอย่างดีเสียก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายด้านการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานโดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา

สมัยนี้ทำธุรกิจไม่มีคอนเทนต์ไม่ได้ หากใครกำลังมองหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ที่ Primal Digital Agency ของเรามีนักเขียนมากความสามารถที่จะช่วยสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพให้แก่แบรนด์คุณได้ รับประกันว่าผลลัพธ์ทางธุรกิจของคุณจะดีกว่าที่เคยอย่างแน่นอน