7 เทคนิคการทำ SEO Voice Search ให้ติดอันดับในหน้าแรก

แชร์บทความนี้

ปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมเร็วยิ่งกว่าความเร็วอินเทอร์เน็ต และนักการตลาดที่มองเกมขาดจะรู้ดีว่าการเข้าใจเทรนด์ก่อนใครคือข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงและไม่อาจมองข้ามได้เลยก็คือ “Voice Search” หรือ “การค้นหาด้วยเสียง” ที่ไม่ได้เป็นแค่ฟีเจอร์เสริมของ Google อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นทั้งจุดเปลี่ยนของพฤติกรรมผู้บริโภค และโอกาสใหม่ในการทำตลาดอย่างแท้จริง

ผู้บริโภคกำลังใช้ Voice Search ค้นหาข้อมูลบน Search Engine

Voice Search คือการใช้คำสั่งเสียงค้นหาข้อมูลบน Search Engine

Table of Contents

Voice Search คืออะไร

Voice Search คือระบบค้นหาด้วยเสียงที่พัฒนาโดย Google ซึ่งให้ผู้ใช้งานสามารถพูดคำหรือประโยคคำถามออกมาแทนการพิมพ์ลงบนหน้าจอ โดยระบบจะวิเคราะห์เสียง พิจารณาความหมาย และแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น

  • พิมพ์ : “ร้านกาแฟใกล้ฉัน”
  • พูด : “ร้านกาแฟที่เปิดตอนนี้ใกล้ฉัน”

หลักการทำงานของ Voice Search

ระบบ Voice Search ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีประมวลผลเสียง (Speech Recognition) และระบบประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP) เพื่อแปลงคำพูดของผู้ใช้ให้เป็นข้อความ จากนั้นจึงตีความหมายของข้อความนั้นเพื่อแสดงผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

ขั้นตอนหลักในการทำงานของ Voice Search มีดังนี้

  • การรับเสียง (Voice Input) : อุปกรณ์จะบันทึกเสียงของผู้ใช้ผ่านไมโครโฟน
  • การแปลงเสียงเป็นข้อความ (Speech-to-Text) : ระบบ AI วิเคราะห์เสียงเพื่อแปลงเป็นข้อความ
  • การวิเคราะห์ข้อความ (Query Understanding) : ระบบ NLP ทำงานเพื่อเข้าใจเจตนาของคำค้น เช่น คำถาม สถานที่ ความต้องการ
  • แสดงผลลัพธ์ (Search Result) : ระบบค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากอินเทอร์เน็ต และแสดงผลแบบข้อความ หรืออ่านข้อความให้ผู้ใช้ฟัง (ในกรณีใช้งานผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะ)

 

Voice Search ต่างจากการค้นหาแบบเดิมอย่างไร

รูปแบบคำค้น 

Voice Search มักใช้ภาษาพูดและประโยคเต็ม เช่น “ที่ไหนขายกาแฟอร่อยใกล้ฉัน” ซึ่งต่างจากการพิมพ์ที่มักใช้คำสั้น ๆ เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน”

พฤติกรรมผู้ใช้ 

ผู้บริโภคมักใช้ Voice Search ขณะทำกิจกรรมอื่น เช่น ขับรถหรือทำกับข้าว ซึ่งทำให้เน้นความสะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน

ลักษณะของผลลัพธ์ 

ระบบมักแสดงคำตอบเดียวแบบสั้น กระชับ และตรงประเด็น เนื่องจากผู้ใช้ฟังมากกว่าดู ทำให้ไม่มีเวลาสำรวจลิงก์หลาย ๆ หน้า

ความคาดหวังต่อคำตอบ 

ผู้ใช้มักจะคาดหวังคำตอบทันทีในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น คำตอบแบบ Q&A หรือคำอธิบายสั้น ๆ โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์หลายชั้น

ผลต่อการทำ SEO 

จำเป็นต้องปรับเนื้อหาให้เป็นภาษาธรรมชาติ ใกล้เคียงภาษาพูด และตอบคำถามได้ชัดเจน เพื่อให้มีโอกาสถูกเลือกเป็นคำตอบสำหรับ Voice Search

 

ทำไม Voice Search ถึงสำคัญในยุคนี้

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป

จากการศึกษาของ Google พบว่า ผู้ใช้งานมากกว่า 50% ใช้การค้นหาด้วยเสียงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผ่านสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์ผู้ช่วยอัจฉริยะ เช่น Google Assistant, Siri หรือ Alexa เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงมีความสะดวก รวดเร็ว และเหมาะกับยุคที่คนเรามักต้องการคำตอบแบบทันที

ตอบโจทย์การค้นหาใน “Micro-Moment” ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ปัจจุบันนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่า Micro-Moments หรือช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผู้คนต้องการ “รู้” บางอย่าง “ไป” ที่ไหนสักแห่ง “ทำ” อะไรบางอย่าง หรือ “ซื้อ” ทันที Voice Search จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ตอบสนองได้แบบเรียลไทม์ เพราะผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องหยุดทุกอย่างเพื่อพิมพ์อีกต่อไป แค่พูด คำตอบก็มา และนี่คือโอกาสทองของแบรนด์ในการเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด ตรงเวลา และตรงความต้องการที่สุด

Voice Search ส่งผลต่อ SEO โดยตรง

Google ใช้หลักการ Featured Snippets หรือกล่องคำตอบสั้น ๆ ด้านบนสุดของหน้าผลลัพธ์ เพื่อแสดงผลการค้นหาด้วยเสียง โดยอิงจากคำถามลักษณะ Who, What, Where, When, Why, How ดังนั้น ใครที่สามารถปรับเนื้อหาให้ตอบโจทย์คำถามเหล่านี้ได้ ก็จะมีโอกาสสูงที่จะถูกเลือกเป็นคำตอบจาก Google

 

7 เทคนิคการทำ SEO Voice Search Optimisation

อย่างที่กล่าวไปว่า ตอนนี้ผู้คนหันมาใช้ Voice Search มากขึ้น ดังนั้น หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับจากคำค้นหาด้วยเสียง จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์เฉพาะที่ตอบโจทย์ ดังต่อไปนี้

อัปเดตข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่ทำธุรกิจ (Local Search)

คนส่วนมากนิยมใช้ Voice Search ค้นหาสถานที่หรือวิธีการเดินทาง ดังนั้น จึงควรอัปเดตข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ของเราเอาไว้เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเจอได้โดยง่าย โดยคำค้นหาที่คนมักใช้กัน เช่น ช่วงเวลาเปิด-ปิดร้าน แผนที่การเดินทาง หรือเบอร์โทรศัพท์ การใส่ข้อมูลพวกนี้ลงไปจะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับข่าวสารที่ต้องการค้นหา และสามารถสร้างการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นได้

ทำคอนเทนต์ให้เป็นภาษาพูด (Conversational Content)

การเขียนคอนเทนต์ด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการมากนักและคล้ายกับบทสนทนาทั่วไป จะทำให้ Google Bot จัดให้คอนเทนต์ของเราติดอันดับ SEO Voice Search แต่ถึงจะเป็นภาษาที่ไม่เป็นทางการ ก็ต้องอย่าลืมคำนึงถึงความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และการตรวจสอบได้ด้วย

ใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน (Structured Data)

Structured Data คือ ข้อมูลที่มีเนื้อหาชัดเจนและเฉพาะตัว โดยส่วนมากจะประกอบไปด้วยตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ประเทศ เบอร์โทรศัพท์ หรือรหัสไปรษณีย์ก็ตาม ซึ่งหากผู้ใช้งานต้องการค้นหาข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจนในลักษณะนี้ด้วยคำสั่งเสียง ก็มักจะถามอุปกรณ์ด้วยคำถามเหล่านี้ เช่น “นายกฯ คนปัจจุบันของไทยคือคนที่เท่าไร” “รหัสไปรษณีย์จังหวัดปราจีนบุรีมีเลขอะไรบ้าง” “จำนวนประชากรของประเทศไทยมีกี่คน” เป็นต้น

อัปเดตข้อมูลบน Google My Business

Google My Business คือฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น เราจึงควรอัปเดตข้อมูลให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วยังช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์อีกด้วย

พัฒนาเว็บไซต์ให้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Friendly)

ปัจจุบันผู้คนเริ่มหันมานิยมใช้ Voice Search บนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ตโฟน ดังนั้น เราจึงต้องคำนึงถึงลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าว ด้วยการออกแบบหน้าเว็บฯ ให้เหมาะกับการดูบนมือถือ เพื่อให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานพัฒนาไปในเชิงบวก

สร้างคำตอบที่ผู้บริโภคมักตั้งคำถาม (Create Frequently Asked Questions)

Frequently Asked Questions คือฟีเจอร์ที่ Google สร้างขึ้นบนหน้าการค้นหา เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้หาคำตอบได้รวดเร็วทันใจ โดยไม่ต้องเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์เพื่อไล่อ่านเนื้อหาเพื่อหาคำตอบ และถ้าหากคอนเทนต์ของเรามีคำตอบที่ชัดเจน ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้งานนิยมค้นหา Google Bot ก็จะช่วยให้เราติดอันดับในฟีเจอร์เหล่านี้ นำมาซึ่ง Traffic บนเว็บไซต์ที่เยอะขึ้น เพราะผู้ที่สนใจเนื้อหาจะกดลิงก์มายังเว็บไซต์ของเราเพื่ออ่านเนื้อหาเพิ่มเติม

ใช้ Long-Tail Keywords ที่เป็นธรรมชาติและใกล้เคียงภาษาพูด

เนื่องจากผู้ใช้งาน Voice Search มักจะพูดเป็นประโยคเต็มมากกว่าพิมพ์คำสั้น ๆ เช่น แทนที่จะค้นหาว่า “ร้านกาแฟ ลาดพร้าว” พวกเขาอาจพูดว่า “มีร้านกาแฟบรรยากาศดีแถวลาดพร้าวไหม ?” ดังนั้น การเลือกใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long-Tail ในการทำ SEO ที่มีลักษณะเป็นประโยคหรือใกล้เคียงกับการพูด จึงจะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณถูกจับโดย Google Voice Search ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

วิธีการใช้เทคโนโลยี Voice Search

การใช้ Voice Search ค้นหาสิ่งที่ต้องการมีเพียง 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. ต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถใช้ฟังก์ชันคำสั่งเสียงได้ เช่น สมาร์ตโฟน เป็นต้น
  2. พูดคำสั่งเพื่อเปิดการใช้งานฟังก์ชันดังกล่าว เช่น Hey Siri, Hey Google หรือ Talk to Walmart บนอุปกรณ์ Google Home เป็นต้น
  3. สำหรับการค้นหาข้อมูลทั่วไป อาจใช้คำสั่งเช่น “หาร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “อากาศวันนี้เป็นอย่างไร” แต่หากต้องการใช้ Voice Search เพื่อสั่งซื้อสินค้าใน E-commerce (ที่เรียกว่า Voice Commerce) จำเป็นต้องทิ้งท้ายประโยคด้วยคำสั่งการกระทำ (Action) เช่น “สั่งซื้อ” หรือ “เพิ่มลงตะกร้า” เพื่อให้กระบวนการซื้อหรือการใช้บริการเสร็จสมบูรณ์

 

อนาคตของ Voice Search

จากเทคโนโลยีที่เคยเป็นเพียงแค่ “ทางเลือก” วันนี้ Voice Search กำลังกลายเป็น “มาตรฐาน” ของการค้นหาข้อมูลในยุคใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยี AI อย่าง Generative AI และ Machine Learning เข้ามาช่วยให้ระบบรู้จำเสียงมีความแม่นยำและเข้าใจเจตนาของผู้พูดได้ลึกขึ้น ซึ่งแนวโน้มสำคัญที่ควรจับตาได้แก่

  • Voice Commerce กำลังเติบโต : การสั่งซื้อสินค้าและบริการด้วยเสียงจะกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งในอุปกรณ์สมาร์ตโฟน ลำโพงอัจฉริยะ ไปจนถึงรถยนต์
  • การค้นหาหลายภาษา (Multilingual Voice Search) : Google เริ่มรองรับคำสั่งเสียงหลายภาษาในคำถามเดียว ส่งผลให้ผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย มีประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น
  • AI เข้าใจ Intent ผู้ใช้งานมากขึ้น : ระบบจะไม่แค่ฟังคำพูด แต่จะตีความสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนจาก Keyword-Based SEO ไปสู่ Intent-Based SEO

เพราะฉะนั้น ธุรกิจและนักการตลาดที่สามารถปรับตัวตามเทรนด์นี้ได้ก่อน ย่อมได้เปรียบทั้งในเชิงการตลาดและประสบการณ์ผู้ใช้งาน

ผู้บริโภคกำลังใช้ Voice Search ค้นหาข้อมูลสินค้าที่ต้องการซื้อ

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการยกระดับกลยุทธ์ SEO ให้ตอบโจทย์การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) Primal พร้อมให้คำปรึกษา เราคือเอเจนซีรับทำ SEO ชั้นนำ ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าผ่าน Voice Search หรือปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ในภาพรวม ทีมของเราก็พร้อมให้คำปรึกษา และออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ

กรอกรายละเอียดเพื่อให้ทีมกลยุทธ์ของเราติดต่อกลับได้แล้ววันนี้

แชร์บทความนี้