รู้จักเทรนด์ Metaverse จักรวาลใหม่บนโลกออนไลน์ที่กำลังมาแรง

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเริ่มแปรเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัล พาให้เราทุกคนก้าวเข้าสู่ยุค “Metaverse” (เมตาเวิร์ส) หรือยุคแห่งจักรวาลนฤมิต ที่ต่อจากนี้เป็นต้นไป ชีวิตประจำวันของเราจะถูกผสานเข้าด้วยกันระหว่างโลกแห่งความจริงกับโลกเสมือนจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตอนนี้เทรนด์ Metaverse ได้กลายเป็นคำที่พูดถึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีและธุรกิจ เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่คนตามติดชิดเทรนด์ปัจจุบัน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักโลกใบใหม่นี้อย่างแน่นอน

Metaverse คืออะไร?

ทำไมช่วงนี้ไปไหนคนก็พูดถึงแต่ Metaverse? Metaverse คืออะไร? จริง ๆ แล้วคำว่า Metaverse ปรากฏครั้งแรกเมื่อปี 1992 ในหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “Snow Crash” ของ Neal Stephenson นักเขียนชาวอเมริกัน โดยเล่าถึงเรื่องราวของโลกอนาคตที่มนุษย์และคอมพิวเตอร์มีปฏิสัมพันธ์กันผ่านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในโลกเสมือนจริง ทำให้นิยายเรื่อง Snow Crash กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างโลก Metaverse ของจริงขึ้นมา ดังนั้น Metaverse คือ การนำสภาพแวดล้อมในโลกจริงเข้ามารวมกับเทคโนโลยีจนกลายเป็น “โลกเสมือนจริง” ที่เชื่อมต่อกับโลกที่เราอยู่ในปัจจุบันจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไร้รอยต่อนั่นเอง

 

Metaverse เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอะไรบ้าง?

ดังที่ได้กล่าวไปว่า Metaverse คือ เทรนด์ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อโลกความเป็นจริงกับโลกดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยประกอบสร้างโลก Metaverse ให้สมจริงและจับต้องได้ มีดังนี้

1. Assisted Reality

Assisted Reality เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถดูหน้าจอและโต้ตอบกับหน้าจอได้โดยไม่ต้องใช้มือ (Hands-free) ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้คือ แว่นตาอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารผ่านระบบเสียงได้ และจะมีข้อมูลขึ้นสู่สายตาทันที

2. Augmented Reality (AR)

โดยส่วนมาก ธุรกิจค้าปลีกมักจะใช้เทคโนโลยี AR ในการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถนำสินค้าในโลกออนไลน์ไปจำลองในโลกจริงได้ เช่น IKEA ได้ผลิตแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าทดลองนำรูปเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในโลก Metaverse ผ่านการใช้เทคโนโลยี AR ไปวางในห้องของตนเองได้ ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแม้ไม่ได้เห็นของจริงก็ตาม นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการสร้างตัวละคร Avatar ผ่านมือถือ การสร้างฟิลเตอร์กล้องถ่ายรูป และการสร้างโฮโลแกรมภาพ 3 มิติอีกด้วย

3. Multiverse

Multiverse หรือจักรวาลโลกคู่ขนาน ใช้เรียกแพลตฟอร์มหรือชุมชน (Community) ในโลกดิจิทัลที่ทำงานอิสระจากกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Minecraft, Instagram, Roblox, Fortnite หรือ Discord โดยโลกของ Metaverse จะสามารถดึง Multiverse เหล่านี้มาทำงานอยู่ที่เดียวกันได้

4. Non-Fungible Tokens (NFT)

NFT ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันในฐานะสินทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนกันด้วย Crytocurrency หรือก็คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทุกคนสามารถครอบครอง ซื้อ-ขาย ตลอดจนสร้างมูลค่าให้สินค้าและบริการใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในโลกดิจิทัลนั่นเอง โดยจะมีเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยกำกับความเป็นเจ้าของและป้องกันการถูกขโมย ตัวอย่างสินค้า NFT เช่น ผลงานศิลปะ (NFT Art) บัตรกีฬา ของสะสม เป็นต้น

5. Virtual Reality (VR)

Virtual Reality หมายถึง ประสบการณ์เสมือนจริง เป็นการจำลองภาพให้เสมือนจริงแบบ 360 องศา โดยใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีอย่างแว่นตา VR เพื่อจำลองการรับรู้ การมองเห็น และการได้ยินเสียง เพื่อเชื่อมโยงผู้ใช้งานเข้าสู่โลกดิจิทัล เช่น จำลองการกระโดดร่ม การขับเครื่องบิน การเล่นเกมแนวต่อสู้ เป็นต้น

 

Metaverse มีประโยชน์อย่างไร

ถึงแม้เราจะนั่งอยู่กับที่ แต่ Metaverse ก็ช่วยพาเราไปอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ได้โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เสริม สมาร์ตโฟน แอปพลิเคชัน หรือซอฟต์แวร์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบัน เทรนด์ Metaverse กำลังมาแรงและปูทางให้แก่ทุกคนบนโลกจริงเพื่อไปสู่อีกโลกหนึ่ง อันเป็นโลกแห่งอนาคตในเวลาอันใกล้นี้

ในช่วงแรกเริ่มของการเกิดเทรนด์ Metaverse ขึ้นนั้น ได้มีการทดลองนำไปใช้กับเกมออนไลน์และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ในเวลาต่อมา Metaverse เริ่มเข้าไปครอบคลุมถึงวงการธุรกิจต่าง ๆ เพื่อขยายฐานแบรนด์ให้เข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจของ Metaverse ในการปรับการตลาดให้เข้ากับเทรนด์โลกสมัยใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการเข้ามาของ Metaverse ทำให้ชีวิตประจำวันของทุกคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร การทำงาน หรือแม้แต่การโฆษณา หากว่านักการตลาดยังเมินเฉยเทรนด์ Metaverse นี้ ธุรกิจอาจเสียเปรียบได้ในอนาคต ดังนั้น หากใครยังไม่เริ่มคิดเรื่องการผสานธุรกิจของตัวเองเข้ากับโลกเสมือนจริง เริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ!

 

โอกาสทางธุรกิจของ Metaverse มีอะไรบ้าง?

1. การจัดคอนเสิร์ตเสมือนจริง (Virtual Concert)

แม้จะเป็นโลก Metaverse แต่เราก็สนุกสนานไปกับดนตรีในคอนเสิร์ตได้! ด้วย Virtual Concert หรือคอนเสิร์ตที่จัดบนโลกดิจิทัล โดยคอนเสิร์ตเสมือนจริงนี้จะให้ประสบการณ์ที่เหมือนกับคอนเสิร์ตในโลกจริงทุกอย่างเพียงแต่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีศิลปินชื่อดังหลายท่านที่จัด Metaverse Concert และได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก เช่น Ariana Grande, Justin Bieber, Lil Nas X, Galantis ซึ่งจัดผ่านแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง Wave, Fornite และ Roblox และเมื่อไม่นานมานี้เอง Travis Scott ก็ได้จัดคอนเสิร์ตในโลกเสมือน โดยมีผู้เข้าชมมากถึง 27.7 ล้านคนทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่รวบรวมแฟนคลับจากหลากหลายประเทศในจำนวนหลักสิบล้านคนให้มาอยู่ในที่เดียวกันอย่างที่คอนเสิร์ตจริงอาจทำได้ไม่เท่านั่นเอง

2. ความก้าวหน้าของธุรกิจบันเทิง (Entertainment Business)

อุตสาหกรรมบันเทิงในโลก Metaverse กำลังเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนเจน Z ที่เกิดและเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกมหรืออุตสาหกรรม K-pop ก็เริ่มมีการผสานโลกความจริงกับโลกดิจิทัลเข้าด้วยกันเพื่อไม่ให้ธุรกิจของตนเองต้องตกเทรนด์ เช่น The Lego Group บริษัทผลิตของเล่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้ร่วมมือกับ Epic Games เพื่อเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจในการสร้างพื้นที่บน Metaverse โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือเด็ก ๆ

แม้แต่วงการ K-Pop เองก็ไม่น้อยหน้า เพราะ SM Entertainment ค่ายศิลปินเกาหลียักษ์ใหญ่มีการคิดค้นระบบที่เรียกว่า ‘Cultural Technology’ ในการผสานความเป็น K-pop เข้ากับเทคโนโลยี โดยเมื่อปี 2020 SM ได้เปิดตัววงเกิร์ลกรุ๊ปที่ชื่อว่า ‘aespa (เอสปา)’ ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นมนุษย์จริง 4 คน และมนุษย์เสมือนอีก 4 คนซึ่งเป็น Avatar ประจำตัวของสมาชิกแต่ละคน และตัว Avatar นี้จะมีชื่อว่า ‘ae’ ที่สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับตัวสมาชิกในชีวิตจริงได้อีกด้วย

aespa เกิร์ลกรุ๊ปจาก SM Entertainment ที่ใช้เทรนด์ Metaverse ในการโปรโมตวง

 

นอกจากนี้ เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังระดับโลกอย่าง BLACKPINK เองก็ได้มีการร่วมมือกับแอปพลิเคชัน ZEPETO ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับสร้าง Character เสมือนจริงแบบ 3 มิติ และสามารถถอดแบบตัวผู้ใช้งานผ่านกราฟิกตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักและดูสมจริง โดย BLACKPINK ได้มีการจัดงานแจกลายเซ็น (Fansign) ออนไลน์ในช่วงโรคระบาดโควิด-19 ผ่านแอปฯ ZEPETO นี้ด้วย ที่สำคัญคือเหล่าแฟนคลับยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับ Avatar ของศิลปินได้ทุกอย่างไม่แพ้งานแจกลายเซ็นแบบออนไซต์ เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ของวงการ K-Pop ที่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้เหล่าแฟนคลับทั้งในและนอกประเทศเกาหลีไม่น้อยเลยทีเดียว

BLACKPINK เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังจาก YG Entertainment ใช้เทรนด์ Metaverse

 

3. เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า

อาจกล่าวได้ว่า Metaverse คือการเพิ่มโอกาสให้แก่หลาย ๆ ธุรกิจในการเปลี่ยนรูปแบบการตลาดของตนเองให้มาอยู่ในโลกดิจิทัลมากขึ้น เพื่อที่จะเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่มได้มากกว่าเดิม เพราะเมื่ออยู่ในรูปแบบดิจิทัลแล้ว ลูกค้าก็ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางมาหน้าร้าน แต่สามารถนั่งอยู่ที่บ้านและเลือกซื้อของได้เลย ทำให้ยอดขายมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นด้วย เช่น Forever 21 แบรนด์แฟชันชื่อดังก็มีการคอลแลปฯ กับ Roblox เพื่อสร้างร้านค้าของตัวเองบน Metaverse และมีฟังก์ชันให้เหล่าลูกค้ารวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์ได้เลือกสรรและแมตช์ชุดให้ตัวเองได้ตามใจชอบ สามารถพบปะพูดคุยกันในร้านได้ และแม้แต่ซื้อเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับให้แก่ Avatar ของตัวเองในชื่อของแบรนด์ Forever 21 ก็ยังได้!

 

4. สามารถทำงานแบบ Remote Working ได้

การระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด-19 ทำให้ Remote Working หรือการทำงานจากที่ใดก็ได้ (Work from Anywhere) ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังได้กลายเป็นเทรนด์ที่ผู้คนมองว่าเป็นรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงในอนาคต โดยข้อดีของ Remote Working ต่อการทำธุรกิจคือ เป็นการลดต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจ เพราะเมื่อพนักงานเข้าออฟฟิศน้อยลง บริษัทก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนจำนวนมากไปกับเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ และการขยายออฟฟิศเพื่อรองรับพนักงานใหม่ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่ม Productivity อีกด้วย กล่าวคือ การทำงานแบบ Remote Working มักมีแนวโน้มที่จะทำให้งานมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากมีการรบกวนและการหยุดชะงักระหว่างการทำงานน้อยลง

ที่สำคัญ พนักงานจะได้มีชีวิตการทำงานที่สมดุลมากขึ้นด้วย เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางและฝ่าฟันรถติดเป็นชั่วโมง ๆ อีกต่อไป แต่สามารถนั่งทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ โดยในปัจจุบันนี้ก็มีเครื่องมือที่เข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานออนไลน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Google Meet, MS Teams และใหม่ล่าสุดยังมี Gather Town ที่เป็นออฟฟิศเสมือนจริง สร้าง Avatar ของตัวเองได้ รูปแบบคล้าย Co-Working Space บน Metaverse ที่ทำให้เราสามารถพบปะเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงมีพื้นที่ทำงานส่วนตัวได้อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มน่ารัก ๆ สำหรับชาวออฟฟิศเลยทีเดียว

 

5. มีการลงทุนรูปแบบใหม่ ๆ

ไม่ใช่แค่ในโลกความเป็นจริงเท่านั้น แต่ในโลกเสมือนเราก็สามารถลงทุนได้เช่นกัน ทั้งการลงทุนสินทรัพย์ การลงทุนที่ดิน และการลงทุนสกุลเงินดิจิทัล โดยทั้งหมดที่เราลงทุนไปและได้คืนมา จะสามารถนำไว้ใช้ประโยชน์ได้ตามสินทรัพย์ที่เรามีในโลกดิจิทัล เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบความท้าทายและต้องการเดินทางไปยังโลกแห่งการลงทุนอีกใบหนึ่ง

 

สรุป

อาจหมดยุคแล้วที่เราต้องมานั่งตั้งคำถามว่า Metaverse คืออะไร แต่นี่คือยุคของการพัฒนาธุรกิจของเราให้เข้าสู่โลก Metaverse อย่างเต็มรูปแบบ และต้องอย่าลืมว่า สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการคำนึงถึงระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตในการทำธุรกิจบนโลกดิจิทัล เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราทุกคนต่างเข้าสู่จักรวาลนฤมิตแล้ว จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว การเชื่อมต่อระบบจึงจำเป็นต้องมีเสถียรภาพตามไปด้วย เพื่อให้ธุรกิจของเราเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนได้อย่างไม่มีสะดุด

สุดท้ายนี้ ในการทำการตลาดบนโลกดิจิทัลอาจต้องอาศัยความรู้ ความสามารถเฉพาะทางในการทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้ หากใช้บริการ Digital Agency เข้ามาช่วยในการวางกลยุทธ์และคอยชี้แนะว่าควรทำอย่างไร ก็จะทำให้ธุรกิจบนโลกใบใหม่สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน