10 วิธีเขียนแคปชั่นไอจีสำหรับร้านค้า เขียนอย่างไรให้ขายดี?

ไม่ว่าใคร ๆ ก็ต้องเคยประสบปัญหา “มีรูปที่จะโพสต์แล้ว แต่คิดแคปชั่นไม่ออก” อย่างแน่นอน! ก่อนอื่น ต้องบอกว่าแคปชั่นเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้ามีคำอธิบายประกอบภาพดี ก็จะช่วยให้โพสต์ของเรามีความน่าดึงดูดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าร้านค้าออนไลน์ ที่การเขียนแคปชั่นไอจีเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้รูปภาพที่จะโพสต์เลย เพราะร้านค้าที่จะเรียกยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) จากผู้ใช้งานได้จำนวนมากนั้นจะต้องรู้จักเทคนิคในการเขียนแคปชั่นให้โดนใจลูกค้า ทั้งยังต้องสร้างสรรค์เอกลักษณ์ของแบรนด์ให้แตกต่างจากคู่แข่งผ่านตัวหนังสือ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกอยากเลือกแบรนด์ของเรา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ดังนั้น บทความนี้จึงจะมาบอกไอเดียการเขียนแคปชั่นไอจีสร้างแบรนด์ให้ปัง ช่วยให้ยอด Engagement จากผู้ใช้งานพุ่งปรี๊ด!

เขียนแคปชั่นไอจียังไงดี

1. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง

แน่นอนว่าผู้ใช้งานอินสตาแกรมนั้นมีเป็นพันล้านคน แต่กลุ่มคนที่แบรนด์จะต้องโฟกัสมากที่สุดก็คือ “กลุ่มเป้าหมาย” ของตนเอง การรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใครเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการทำธุรกิจ เพราะจะได้นำเสนอสินค้าหรือบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านั้น ผู้ประกอบการจึงต้องมีการวิเคราะห์ตลาดเพื่อหากลุ่มเป้าหมายของตนเองเสียก่อน กล่าวคือ วิเคราะห์พฤติกรรมความชอบ ความสนใจส่วนตัว ความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงความคิดและทัศนคติส่วนตัว เพื่อที่จะได้ออกแบบสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด

หากเรารู้ข้อมูลในส่วนนี้แล้ว เราก็จะสามารถเขียนแคปชั่นไอจีได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังขายของได้ตรงจุด เพราะเรารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใครและต้องการอะไร อันจะนำมาซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยการเขียนมีสิ่งที่ควรคำนึงถึงดังต่อไปนี้

  • การสื่อสารต้องตรงไปตรงมา ไม่ใช้ประโยคกำกวม ทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน
  • อิโมจิที่ใช้ต้องสอดคล้องกับโทนของโพสต์
  • ข้อความหรือบริบทที่ใช้ต้องสอดคล้องกับแคมเปญ

 

2. รู้จัก Brand Voice ของตัวเอง

Brand Voice คือ คุณค่าและบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ มีความสอดคล้องกับสิ่งที่เราใช้สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ หรือเสียง เพื่อให้เกิดภาพจำในวงการธุรกิจ โดยตัวอย่างแบรนด์ที่มี Brand Voice โดดเด่น เช่น Disney ซึ่งเป็นแบรนด์ที่สื่อถึงความสนุกสนาน ความเป็นครอบครัว และเต็มไปด้วยจินตนาการ เป็นต้น

เมื่อเรารู้จัก Brand Voice ของตัวเองแล้ว การเขียนแคปชั่นก็จะดูง่ายขึ้นมาทันที เพราะเราสามารถสร้างความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้แก่แบรนด์ และที่สำคัญคือต้องรักษามู้ดแอนด์โทนของตัวเองไว้เรื่อย ๆ เวลาโพสต์ทุกครั้ง เพราะการสร้างแครักเตอร์ในลักษณะนี้จะทำให้ลูกค้าจดจำเราได้ไปอีกยาว ๆ

 

3. แคปชั่นต้องกระชับ ได้ใจความ

ความยาวของแคปชั่นก็เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเช่นกัน ไม่ใช่ว่ายิ่งเขียนยาวจะยิ่งดีเสมอไป เพราะผู้ใช้ไอจีส่วนมากก็มักจะเลื่อนฟีดเพื่อดูรูปภาพแล้วเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอย่างที่เราเห็นกันบ่อย ๆ แต่บางคนอาจไม่ได้สังเกต ว่าโพสต์ของไอจีนั้นจะแสดงแคปชั่นเพียงแค่ 3 บรรทัดแรกเท่านั้น หากเกินกว่านั้น ผู้ใช้งานจะต้องคลิกปุ่มเพิ่มเติมเพื่ออ่านส่วนที่เหลือ ดังนั้น การเขียนแคปชั่นไอจีแบบไม่ต้องยาวมาก เน้นกระชับ ได้ใจความ จะได้ผลตอบรับที่ดีกว่าแคปชั่นยาว ๆ หลายย่อหน้าจนทำให้ขี้เกียจอ่านเสมอ โดยจำนวนตัวอักษรที่ไอจีแนะนำคือไม่เกิน 125 ตัวอักษรเท่านั้น แต่ต้องอย่าลืมว่า แม้จะเขียนไม่ยาวมากแต่ก็ต้องทำให้น่าสนใจ ดึงดูดคนที่เลื่อนผ่านมาให้ได้ด้วยนะ!

 

4. สร้างคีย์เวิร์ดให้โดนใจ

ดังที่ได้บอกไปว่า หากไม่กดอ่านส่วนที่เหลือเพิ่มเติม ผู้ใช้งานจะเห็นแคปชั่นเพียง 3 บรรทัดแรกเท่านั้น และวิธีการทำให้ 3 บรรทัดแรกนั้นน่าดึงดูดมากที่สุดก็คือการสร้างคีย์เวิร์ดให้โดนใจ เห็นแล้วรู้สึกอยากกดอ่านเพิ่มเติมทันที แต่ยังต้องคงความเกี่ยวข้องกับแบรนด์เอาไว้ ทำให้ลูกค้ารู้เสมอว่าสิ่งที่เรากำลังต้องการจะนำเสนอคืออะไรผ่านคีย์เวิร์ดสั้น ๆ

 

5. แก้ไขจนได้ดราฟต์ที่ดีที่สุด

อย่างที่เรารู้กันว่าการเขียนแคปชั่นไอจีเพื่อสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธุรกิจนั้นมีหลายแคมเปญ เราก็จะต้องมานั่งคิดแคปชั่นให้เหมาะสมกับแต่ละแคมเปญให้มากที่สุด ดังนั้น ในส่วนนี้เราจึงต้องใช้เวลาในการคิดและตกผลึก ด้วยการร่างแคปชั่นขึ้นมาก่อนว่าเราจะเขียนอะไรบ้าง ต้องการนำเสนอสินค้าหรือบริการอะไร คีย์เวิร์ดหลักคืออะไร กลุ่มเป้าหมายของตนเองคือใคร โทนในการเขียนควรเป็นแบบไหน เช่น เชิงตลก หรือเชิงวิชาการ เป็นต้น ซึ่งแบบร่างอาจมีมากกว่า 1 ดราฟต์ก็ได้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำดราฟต์เหล่านั้นมาแก้ไขให้เหมาะสมจนได้เวอร์ชันที่ดีที่สุดมา โดยอาจให้เพื่อนร่วมงานหรือคนในทีมเข้ามาช่วยกันอ่านและให้ฟีดแบ็กก่อนจะโพสต์ เพื่อจะได้รู้ว่าผู้อื่นมีความคิดเห็นหรือรู้สึกอย่างไรกับข้อความที่เราเขียน

 

6. ใช้แฮชแทก (#) ให้ถูกต้อง

อีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้โพสต์ของเราได้รับการเข้าถึงมากขึ้น ก็คือ “แฮชแทก (Hashtag)” โดยเราสามารถซ่อนแฮชแทกไว้ที่ด้านล่าง ห่างจากตัวแคปชั่นประมาณ 3-5 บรรทัด หรือบางคนนิยมใส่ในคอมเมนต์แทนก็มี เพื่อไม่ให้ตัวแฮชแทกดึงความสนใจไปจากโพสต์และทำให้อ่านแคปชั่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งจุดประสงค์ของการใช้แฮชแทกคือการเพิ่มโอกาสให้โพสต์ถูกค้นเจอมากขึ้น ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนใหม่ ๆ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้ติดตามไอจีของเราก็ตาม

 

7. เริ่มต้นด้วยคำถาม

เทคนิคเขียนแคปชั่นไอจีที่ดีในการทำให้ผู้ที่เลื่อนผ่านไปผ่านมาอ่านแล้วรู้สึกสะดุดตา นั่นก็คือ การตั้งคำถาม เพราะจะทำให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดตาม และหากคำถามนั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาที่คนเหล่านั้นกำลังเจออยู่ ก็มีโอกาสที่จะทำให้พวกเขากดเข้ามาที่หน้าไอจีหรือเว็บไซต์ของเราเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม อันจะนำไปสู่การสร้างยอดขายในลำดับถัดไป โดยการตั้งคำถามนั้นสามารถตั้งได้หลายแบบ เช่น

  • คำถามปลายปิด ที่มีคำตอบคือ ใช่ หรือ ไม่ใช่
  • คำถามแสดงความคิดเห็นโดยให้ผู้อ่านร่วมคอมเมนต์ใต้โพสต์นั้น ๆ
  • คำถาม Multiple Choices ให้เลือกตอบ เป็นต้น

นอกจากนี้ เรายังสามารถเพิ่มกิจกรรมเข้าไปด้วยได้ เช่น การสุ่มแจกรางวัลจากคอมเมนต์ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับโพสต์ของเราให้ได้มากที่สุด และสามารถเพิ่มผู้ติดตามใหม่ ๆ ได้อีกด้วย

 

8. กระตุ้นให้คนกดปุ่ม Call to Action (CTA)

นอกจากการตั้งคำถามให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้ว เรายังสามารถแทกหรือเมนชันชื่อแบรนด์อื่น ๆ รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญนั้น ๆ ของเราได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานอินสตาแกรมเห็นโพสต์เยอะขึ้น และถ้าหากแคปชั่นของเรามีความน่าดึงดูด ลูกค้าอ่านแล้วรู้สึกสนใจ ก็จะสามารถเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเหล่านั้นคลิกเข้ามาที่ปุ่ม Call to Action (CTA) เช่น กดรับคูปองที่ทางร้านเสนอเพื่อรับสิทธิ์ในการทดลองใช้ เป็นต้น

 

9. ใช้อิโมจิเพื่อเพิ่มกิมมิก

ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าโพสต์หรือข้อความไหน ๆ ก็จะประกอบไปด้วยอิโมจิ เพราะนอกจากจะช่วยสื่ออารมณ์ของข้อความได้ดีแล้ว ยังทำให้ดูน่ารักมีกิมมิกอีกด้วย อีกทั้งการสื่อสารของเราก็จะดูเป็นกันเองกับลูกค้า ลูกค้าจะได้รู้สึกว่าแบรนด์ของเราเป็นแบรนด์ที่จับต้องได้และหันมาให้ความสนใจ ส่งผลให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้นในอนาคต แต่ต้องระวังเรื่องการใช้อิโมจิที่เยอะหรือพร่ำเพรื่อเกินไป เพราะจะทำให้แบรนด์ดูไม่จริงจังและลดความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคลงได้

 

10. เขียนคำคมโดน ๆ

บางครั้งการขายของถี่เกินไปก็อาจทำให้ลูกค้าบางรายรู้สึกอึดอัดใจเหมือนถูกยัดเยียดสินค้าให้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงควรมีบางครั้งที่โพสต์อย่างอื่นบ้าง โดยหนึ่งในวิธีที่นิยมทำกันในปัจจุบันคือการแชร์คำคมหรือโควต (Quote) อาจเป็นโควตคำพูดดี ๆ ให้ผู้ที่อ่านรู้สึกได้รับกำลังใจ หรือเป็นคำคมตลก ๆ สร้างความเฮฮา เป็นการมอบพลังด้านบวกให้แก่ผู้ที่ผ่านมาเห็น วิธีนี้จะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจลูกค้าของแบรนด์ เพราะหากเรามีแครักเตอร์ที่นิ่งเฉย ก็อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่น่าสนใจได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากเราเลือกโควตที่มีความสอดคล้องกับแคมเปญที่กำลังทำอยู่มาแชร์ ก็จะยิ่งช่วยสร้าง Engagement ให้แก่ตัวแบรนด์ได้อย่างดีทีเดียว

 

สรุป

และทั้งหมดข้างต้นนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคนิคเขียนแคปชั่นไอจีสร้างแบรนด์ให้ปังกว่าเดิม โดยผู้ประกอบการออนไลน์สามารถนำ 10 วิธีนี้ไปลองปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจตนเองหรือแคมเปญที่กำลังทำอยู่ และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโพสต์บนอินสตาแกรมเท่านั้น เพราะโพสต์บนเฟซบุ๊กก็สามารถใช้เทคนิคเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน และควรคำนึงเสมอว่า การเขียนในแต่ละครั้งไม่ใช่แค่เพียงการก๊อบวางแล้วโพสต์ แต่ต้องผ่านการตกผลึกและพิจารณาในหลาย ๆ ปัจจัยมาเป็นอย่างดี เพื่อให้โพสต์ของเราตรงโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่มากที่สุด

แต่ถ้าหากใครที่ยุ่งมากจนไม่มีเวลาเขียนแคปชั่นดี ๆ ก็สามารถให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดบนโซเชียลมีเดียช่วยเหลือได้ โดย Primal ของเรามีทีมคอนเทนต์ที่จะช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ของคุณผ่านตัวหนังสือบนแคปชั่น ในรูปแบบที่สามารถสร้างยอด Engagement ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน!