รวมทริคการเขียนบทความ SEO ให้ติดหน้าแรกในการค้นหา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเขียนบทความ SEO ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จนตอนนี้แทบจะทุกธุรกิจได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำ SEO กันมากขึ้น แต่จุดประสงค์หลักในการเขียนบทความ SEO นั้น คือการทำให้บทความและเว็บไซต์ของคุณติดอยู่ในหน้าแรกของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ที่เรียกรวม ๆ กันว่า Search Engine ดังนั้นรูปแบบและโครงสร้างต่าง ๆ ในการเขียนบทความจึงมีความเฉพาะตัว และควรทำอย่างถูกต้อง วันนี้ เราจะมาแนะนำทริคการเขียน SEO ที่จะช่วยให้บทความของคุณมีประสิทธิภาพและติดหน้าแรกในที่สุด!

แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มทำ SEO คุณอาจจะต้องมาทำความรู้จักกับการเขียนบทความ SEO กันก่อน ว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ เพื่อจะได้เข้าใจในเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ชนิดนี้ให้มากขึ้น

SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอยู่ในหน้าแรกบน Search Result เช่นในเว็บไซต์อย่าง Google ซึ่งหากใครได้ทำการค้นหาสินค้าหรือบริการ ที่ตรงกับหมวดหมู่ร้านค้าหรือแบรนด์ของคุณ บทความ SEO หรือเว็บไซต์ที่คุณได้สร้างสรรค์เอาไว้ก็จะปรากฏขึ้นบนหน้าการค้นหานั้น ๆ ยิ่งตำแหน่งที่แสดงผลอยู่ในอันดับบนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้นเท่านั้น และอาจส่งผลต่อยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นในท้ายที่สุดด้วย

อ่านเพิ่มเติม: SEO คืออะไร? สำคัญอย่างไร? ตอบทุกคำถามจบในที่เดียว

เคล็ดลับ เขียนบทความ SEO

6 วิธีเขียนบทความ SEO ให้ติดหน้าแรก

1.ศึกษา หาข้อมูล

อันดับแรกที่มีความสำคัญมาก เปรียบดั่งการวางรากฐานเลยก็ว่าได้ คือการศึกษาหาข้อมูลว่า “คุณอยากจะเขียนเกี่ยวกับอะไร” โดยคุณจะต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยว่าสิ่งที่คุณต้องการจะเขียนนี้ มีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้าและบริการของคุณอย่างไร อย่างเช่นถ้าหากคุณมีธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง คุณก็ควรจะเลือกเขียนหัวข้อที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งจะไม่ใช่การเขียนขายของกันแบบตรง ๆ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ที่สามารถเชื่อมโยงกับสินค้าได้ในทางอ้อม อย่างเช่น “วิธีแต่งหน้าให้ติดทน” “คุชชั่น vs รองพื้น อันไหนดีกว่ากัน” เป็นต้น โดยการเลือกหัวข้อคุณอาจจะหาสิ่งที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ในขณะนั้นแล้วนำมาต่อยอด (Tropical Content) หรือ บทความที่เป็นเชิงการให้ความรู้และมีเนื้อหาที่อ่านได้เสมอแบบไม่ตกยุค (Evergreen Content) ก็ได้

2.เลือกคีย์เวิร์ด

คีย์เวิร์ดคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนบทความ SEO คุณต้องท่องสิ่งนี้ไว้ให้ขึ้นใจ เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบของ Search Engine จับได้ว่าบทความของคุณมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งขณะที่ผู้ใช้งานทำการเสิร์ชหาข้อมูล ก็มักจะใช้คำสั้น ๆ ทำให้มีความจำเป็นอย่างมากในการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเหมาะสมที่มีการค้นหาบ่อย ๆ โดยคุณอาจจะใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SurferSEO ช่วยในการหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมที่สุดต่อการนำมาใช้เขียนบทความ

3.วางโครงสร้างของบทความ

เมื่อคุณกำหนดหัวข้อและเลือกคีย์เวิร์ดได้แล้ว อีกสิ่งที่คุณควรทำก่อนลงมือเขียนก็คือ การวางโครงสร้างของบทความ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถจัดระบบความคิดและเขียนได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังช่วยป้องกันการลืมใส่รายละเอียดที่ควรจะมีในบทความ SEO อีกด้วย เพราะหากขาดรายละเอียดใดไป อาจส่งผลถึงคะแนนของบทความนั้น ๆ ได้เช่นกัน 

สิ่งที่ต้องมีในโครงสร้างของบทความ SEO

Meta Title

ชื่อหัวข้อของบทความที่จะไปปรากฏอยู่บนหน้าการค้นหา โดยควรมีความกระชับ ได้ใจความ อ่านแล้วรู้เรื่องว่าบทความนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร โดยความยาวที่นิยมใช้กันจะอยู่ที่ 50- 60 ตัวอักษร และที่สำคัญคือคุณต้องอย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดสัก 1 คีย์เวิร์ดลงไปด้วย 

Meta Description

คำอธิบายที่ปรากฏอยู่บนหน้าการค้นหา รองจาก Meta Title โดยในส่วนนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาของบทความให้สั้น กระชับและมีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ในนั้นด้วย เราแนะนำว่าให้คุณใช้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร มิฉะนั้นข้อความก็จะแสดงขึ้นไม่ครบและส่วนที่เกินมาก็จะไม่มีใครเห็นอยู่ดี โดยความสำคัญของการเขียน Meta Description อยู่ที่เวลาที่ผู้ใช้งานเสิรช์หาข้อมูล มักจะอ่านเนื้อหาในส่วนนี้ก่อนเสมอ และถ้ารายละเอียดต่าง ๆ ตรงกับคำตอบที่พวกเขากำลังมองหาอยู่ ผู้ใช้งานก็จะกดเข้ามาชมเว็บไซต์ในทันที

Headline (H1)

หัวข้อที่จะปรากฏอยู่บนหัวบทความในหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับ Meta Title แต่เราขอแนะนำว่า ให้เขียนเนื้อหาที่มีความแตกต่างกัน แต่ยังคงใจความสำคัญที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันก็จะดีที่สุด รวมถึงอย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดลงไปด้วย ที่สำคัญการเขียน H1 จะต้องมีเพียงอันเดียวเท่านั้น 

Sub-Headings (H2-H6)

สำหรับการเขียน Sub-Headings หรือที่เราเรียกกันว่า H2 นั้นอาจจะมีได้ถึง H6 หรือมากกว่านั้นก็ได้ ซึ่งจะเป็นหัวข้อรองในบทความ โดยจำแนกได้จากการลำดับภายใต้หัวข้อนั้น ๆ และจะมีคีย์เวิร์ดหรือไม่มีก็ได้เช่นกัน เพราะจะเป็นการเขียนให้ผู้อ่านรู้ว่าจะมีหัวข้ออะไรบ้างเท่านั้น  

Paragraphs

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือตัวเนื้อหา โดยในการเขียนเนื้อหานั้น คุณจะต้องแยกแต่ละย่อหน้าให้ชัดเจน โดยในหนึ่งย่อหน้าไม่ควรมีความยาวเกินไป หรือมีหลายใจความสำคัญ ที่สำคัญคุณจะต้องกระจายใส่คีย์เวิร์ดลงไปในส่วนของเนื้อหาด้วย โดยอัตราส่วนที่แนะนำจะอยู่ที่ 1% ของจำนวนคำทั้งหมดในบทความ

Alt Text

บทความ SEO ที่ดี ควรจะมีรูปเพราะสามารถช่วยเพิ่มความน่าอ่านให้กับบทความมากขึ้น แต่การใส่รูปนั้น คุณก็จำเป็นต้องใส่ Alt Text หรือข้อความที่ซ่อนอยู่ในรูปนั้น ๆ ด้วย เพราะเวลาที่มีผู้ใช้งานเสิร์ชหาในหน้ารูปภาพ รูปของคุณก็จะได้ไปแสดงผลด้วยเช่นกัน โดย Alt Text อาจจะเป็นคีย์เวิร์ดหรือข้อความสั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในภาพและบทความ 

Internal Link

สิ่งสุดท้ายที่มีความสำคัญอย่างมากและไม่ควรละเลยด้วยประการทั้งปวงก็คือการใส่ลิงก์เชื่อมไปหาบทความหรือหน้าเว็บไซต์ของคุณ แต่ในการใส่ Internal Link คุณไม่จำเป็นต้องแปะลิงก์ลงไปโต้ง ๆ แต่สามารถซ่อนลิงก์ไว้ในข้อความได้ ซึ่งข้อดีของการใส่ Internal Link ก็คือ จะช่วยให้ผู้ใช้งานอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของคุณนานขึ้นนั่นเอง

4.เขียนบทความให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน

ข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดในการเขียนบทความ SEO ก็คือ การที่หลายคนเข้าใจว่า จะต้องเขียนออกมาให้ระบบของเครื่องมือค้นหาอ่าน และพยายามเขียนทุกอย่างเอาใจระบบค้นหาสุด ๆ จนลืมไปว่าจุดประสงค์ของการเขียนบทความ SEO ที่แท้จริงนั้นคืออะไรไป 

เพราะแท้ที่จริงแล้ว ในการเขียนบทความประเภทนี้จะเป็น “การเขียนให้คนจริง ๆ อ่าน” เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าบทความของคุณมีแต่ระบบที่จับข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถไปถึงผู้ใช้งานที่มีโอกาสเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณ บทความเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์หรือสร้างการเติบโตใด ๆ ให้กับธุรกิจเลย เรียกได้ว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำสุด ๆ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องใส่ใจในคุณภาพและความถูกต้องของเนื้อหาด้วย โดยเคล็ดลับในการเขียนบทความให้มีประสิทธิภาพก็คือ จงวางตัวในฐานะผู้อ่านเสมอ และเขียนสิ่งที่คุณคิดว่าจะมีประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุดออกมา (แต่ก็ห้ามลืมโครงสร้างของ SEO นะ!)

5.แชร์บทความลงบนโซเชียลมีเดีย

เมื่อคุณเขียนบทความเสร็จสิ้น และได้อัพโหลดลงบนหน้าเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว คุณจะมานั่งรอให้บทความของคุณขึ้นหน้าแรกของการค้นหาอย่างเดียวไม่ได้ เพราะกระบวนการนั้นอาจจะใช้เวลาถึง 3-10 เดือนเลยทีเดียว แต่สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือการแชร์บทความของคุณลงในโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นการสร้าง Impression และเพิ่มยอด Engagement ซึ่งแน่นอนว่าระบบของเครื่องมือค้นหา จะให้คะแนนกับสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน!

6.วัดผลและปรับปรุงแก้ไข

อันดับสุดท้ายที่คุณห้ามลืมก็คือ หลังจากเวลาผ่านไป จนคุณได้ผลลัพธ์การทำ SEO มาแล้ว รวมถึงรู้ว่าบทความของคุณไปปรากฏอยู่ที่ตรงไหนของหน้าค้นหา มียอดผู้เข้าชม รวมถึงสถิติต่าง ๆ อยู่ที่เท่าไหร่ คุณจำเป็นจะต้องหาจุดอ่อนของบทความและนำมาแก้ไขปรับปรุงอีกครั้ง เพื่อให้มีโอกาสติดหน้าแรกมากขึ้น หรือถ้าบทความของคุณติดหน้าแรกเป็นที่เรียบร้อย คุณก็ยังจำเป็นต้องคอยเช็กอยู่เป็นระยะ เพราะโลกใบนี้มีบทความใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการคอยตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอยังจะช่วยให้คุณหาทางปรับปรุงเนื้อหา ให้อยู่ในอันดับที่ดีกว่าเดิมได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย