Responsive Web Design คืออะไร? เทคนิคที่คนทำเว็บไซต์ต้องรู้

เคยไหม? เข้าเว็บไซต์หนึ่งไปแล้วพบว่าหน้าเว็บฯ นั้นไม่รองรับการใช้งานบนมือถือ กล่าวคือ มีขนาดความกว้างเท่ากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือเล็กเกินไปจนอ่านไม่รู้เรื่อง ทำให้เราต้องซูมเข้าซูมออก หรือเลื่อนซ้ายทีขวาทีกลับไปกลับมา นั่นเป็นเพราะว่าหน้าเว็บไซต์มีขนาดไม่เหมาะสมกับหน้าจอที่เรากำลังใช้งานอยู่นั่นเอง

ทว่าปัจจุบันนี้ อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากมาย อีกทั้งแต่ละประเภทก็ยังมีขนาดที่หลากหลาย เช่น โทรศัพท์มือถือที่นับวันหน้าจอก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้การออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive Web Design เป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้ เป็นการสร้างหน้าเว็บไซต์หรือเว็บเพจให้ดูดี สวยงาม รองรับกับทุกอุปกรณ์ โดยการตอบสนองข้อมูลที่แสดงผลบนเว็บไซต์จะปรับเปลี่ยนตามขนาดหน้าจอของอุปกรณ์ที่ใช้

Responsive Web Design ตัวอย่าง

Responsive Web Design คืออะไร?

Responsive Web Design คือ การเขียนเว็บไซต์โดยกำหนด HTML และใช้ CSS ในการควบคุมการแสดงผลเป็นหลัก ให้สามารถปรับเปลี่ยนขนาดหน้าจอตามอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โดยเทคนิคนี้จะช่วยให้หน้าเว็บไซต์ของเราสามารถแยกการแสดงผลได้ตามหน้าจอ เพื่อความสวยงาม เหมาะสม และดูดีในทุกขนาดจอภาพ

สมัยก่อน การออกแบบเว็บไซต์จะรองรับเพียงขนาดหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า “เดสก์ท็อป (Desktop)” เท่านั้น แต่ยุคหลัง ๆ มานี้เริ่มมีการใช้งานโทรศัพท์มือถืออย่างแพร่หลายมากขึ้น จึงมีการออกแบบเว็บไซต์สำหรับอุปกรณ์มือถือที่เรียกว่า “Mobile” แยกออกมาจากเว็บไซต์หลัก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจเคยสังเกตเห็น URL ของเว็บไซต์ที่มักขึ้นต้นด้วย “m.” เช่น m.primal.co.th หรือใช้ “/m/” หรือ “/mobile/” ต่อท้าย เช่น primal.co.th/m/ หรือ primal.co.th/mobile/ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ขนาดหน้าจอโทรศัพท์มือถือแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นก็เริ่มมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น แท็บเล็ต เกิดขึ้นมาอีกด้วย ส่งผลให้การทำเว็บไซต์แยกสำหรับทุกอุปกรณ์ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ อีกต่อไป เพราะต้องเสียทั้งเวลาและงบประมาณในการทำเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เอง เทคนิค Responsive Web Design จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อออกแบบเว็บไซต์เดียวให้รองรับกับทุกอุปกรณ์

 

หลักการทำงานของ Responsive Web Design คืออะไร?

การออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive Web Design นั้นจะใช้การกำหนดขนาดของเว็บไซต์ด้วย HTML, CS33 และ JavaScript ซึ่งจะสามารถปรับขนาดหน้าจอได้อัตโนมัติตามขนาดของอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ แต่จะมีเพียงหนึ่ง URL เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องแยกเว็บไซต์เป็นเวอร์ชันเดสก์ท็อปและมือถือเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป โดยทั่วไปแล้ว การทำ Responsive Web Design มักใช้เทคนิคหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ Fluid Grid, Flexible Images และ CS33 Media Queries

อันดับแรกคือการทำ Fluid Grid เป็นการออกแบบ Grid ให้เป็นแบบ Relative กล่าวคือ ไม่ต้องมีการกำหนดขนาด Grid แบบตายตัว แต่จะกำหนดให้สัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ แทน เช่น กำหนดความกว้างแบบเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือการใช้ขนาดฟอนต์หน่วยเป็น em เป็นต้น

ขั้นต่อมาคือการทำ Flexible Images หรือการกำหนดขนาดของรูปภาพให้มีความสัมพันธ์และเหมาะสมกับขนาดของหน้าจอแสดงผล โดยหากรูปต้นฉบับมีขนาดใหญ่มาก เวลาแสดงในมือถือที่มีจอขนาดเล็กก็ควรลดขนาดลงมา เพื่อให้สามารถแสดงผลได้อย่างสวยงาม

และขั้นสุดท้าย คือการใช้ CS33 Media Queries ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถกำหนด Style Sheets สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ โดยปกติแล้ว เราจะเขียน Style Sheets พื้นฐานเอาไว้แบบที่ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สำหรับการทำ Responsive Web Design นั้น เราจะต้องเขียน Style Sheets สำหรับอุปกรณ์ที่มีขนาดหน้าจอที่เล็กที่สุดเสียก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งการเขียนแบบนี้จะช่วยลดความซ้ำซ้อนของโคด แล้วยังทำให้การแก้ไขโคดในภายหลังทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

เมื่อทำตามหลักการของ Responsive Web Design อย่างถูกต้องแล้ว หลังจากนั้น เมื่อผู้ใช้งานเปิดเว็บไซต์ ไม่ว่าจะผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก หรือแม้กระทั่งจอโทรทัศน์ขนาดกว้าง Responsive Website ที่เราสร้างขึ้นมาก็จะสามารถแสดงผลเต็มจอได้อย่างสวยงาม พอดีกับทุกขนาดหน้าจอที่ใช้ ไม่ต้องคอยซูมเข้าซูมออก เลื่อนซ้ายเลื่อนขวาให้วุ่นวายอีกต่อไป

นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับขนาดของตัวหนังสือบนหน้าเว็บไซต์ได้อีกด้วย โดยสามารถทำได้ทั้งปรับให้ใหญ่ขึ้นและเล็กลง เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน

 

ข้อดีของ Responsive Web Design คืออะไร?

  • สะดวก ลดความยุ่งยาก ตลอดจนช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ เนื่องจากมีแค่ URL เดียว เวลาแก้ไขก็ไม่ต้องแก้ไขหลาย ๆ หน้า และไม่ต้องเปลืองเซิร์ฟเวอร์อีกด้วย
  • ทำให้เว็บไซต์รองรับอุปกรณ์มือถือ หรือที่เรียกว่า “Mobile-Friendly” ซึ่งปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • ผู้ใช้งานสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ง่าย หรือที่เรียกว่า “User-Friendly” ไม่ว่าจะเปิดผ่านอุปกรณ์ใดก็ตาม
  • รองรับการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพราะ Responsive Web Design จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเข้าชมเว็บไซต์ของเรา กล่าวคือ ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์เรามี UX/UI ที่ดี ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย

 

ข้อควรระวังของ Responsive Web Design คืออะไร?

  • ควรทดสอบการเปิดเว็บไซต์ด้วยขนาดหน้าจอต่าง ๆ ที่แตกต่างกันก่อนใช้งานจริง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการแสดงผลผิดไปจากตำแหน่งที่ต้องการ
  • ควรใส่ข้อมูลสำคัญไว้ด้านบน ๆ ของหน้าเพจ เพราะจะทำให้ผู้ชมเห็นข้อมูลที่น่าสนใจทันทีที่เข้ามา
  • ควรกำหนดการแสดงผลและการซ่อนส่วนประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ เช่น เมนู รูปภาพ โฆษณา เพราะเราไม่สามารถแสดงหน้าเว็บไซต์ได้เหมือนกันในทุกขนาดหน้าจอ
  • ควรระมัดระวังเรื่องการจัดเรียงเนื้อหาในเว็บไซต์เมื่อเปิดด้วยโทรศัพท์มือถือ เพราะขนาดจอที่แคบกว่าเดสก์ท็อปจะทำให้เนื้อหาดูเรียงต่อกันยาวกว่า ซึ่งบางครั้งก็ยาวเกินไปจนอาจทำให้ดูไม่สวยงาม
  • ขนาดรูปภาพ ขนาดตัวหนังสือ ช่องไฟ และระยะห่างระหว่างบรรทัด ควรเว้นให้อ่านง่าย สบายตา ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป
  • ควรเตรียมรูปให้เหมาะสมกับหน้าจอ โดยหากเน้นการเปิดผ่านจอขนาดเล็ก ก็ให้อัปโหลดรูปที่มีขนาดเล็ก ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เสียเวลาโหลด ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งผู้ใช้และการทำ SEO เนื่องจาก Google มักใช้ปัจจัยด้านความเร็วในการโหลดหน้าเพจ (PageSpeed) ในการพิจารณาเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย

 

สรุป

ดังนั้น Responsive Web Design คือ การออกแบบเว็บไซต์ให้มีการแสดงผลที่รองรับอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน และการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นของเจ้าของเว็บไซต์ด้วย โดยปัจจุบันนี้ เว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่เราใช้งานกันก็มักจะปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็น Responsive Web Design กันหมดแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจทำให้จำนวนคนเข้ามาที่เว็บไซต์ (Traffic) ลดลง หากพวกเขาเหล่านั้นรู้สึกว่าเว็บไซต์ของเราไม่มีความเป็นมืออาชีพ ใช้งานยาก ไม่สะดวกสบาย และที่สำคัญ การทำ Responsive Web Design ยังเอื้ออำนวยต่อการทำการตลาดออนไลน์ด้วย เพราะไม่ว่าลูกค้าจะใช้อุปกรณ์อะไรอยู่ ก็สามารถคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราได้เลยทันที