Search Generative Experience คืออะไร? ฟีเจอร์ที่ชาว SEO ต้องรู้!

แม้เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ChatGPT เป็นแชตบอต AI ที่สร้างปรากฏการณ์มากที่สุดในวงการเทคโนโลยีตอนนี้ เพราะนอกจากจะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติราวกับคุยกับมนุษย์แล้ว ChatGPT ยังสามารถให้ข้อมูลได้อย่างครอบคลุม จนทำให้มีผู้ใช้งานภายใน 5 วันแรกมากกว่า 1 ล้านคน! ด้วยเหตุผลเหล่านี้ดูเหมือนจะมากพอที่ทำให้บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ต้องหันมาปรับปรุงและพัฒนาแชตบอตของตนเองอย่าง Bard AI ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่อย่าง Search Generative Experience (SGE) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Search โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การค้นหาในแบบที่เรียกว่า Generative AI 

แต่ Search Generative Experience หรือ SGE ที่ว่านี้คืออะไร และจะสามารถสร้างประสบการณ์การค้นหาแบบใหม่ให้กับผู้ใช้งานได้อย่างไรบ้าง รวมถึงจะมีผลต่อการทำ SEO หรือไม่ เรารวบรวมข้อมูลอัปเดตที่สุดไว้ในบทความนี้แล้ว!

SGE คือ


Google’s
Search Generative Experience (SGE) คืออะไร?

ก่อนจะไปลงลึกถึงรายละเอียดของ Google’s Search Generative Experience (SGE) เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่านวัตกรรมใหม่นี้คืออะไรกันแน่ 

Google’s Search Generative Experience (SGE) คือฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่เป็นการผสมผสานระหว่างการ Search กับ Generative AI โดย Google’s SGE จะช่วยตอบคำถาม โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปดูในลิงก์รายการค้นหาเหมือนการเซิร์ชข้อมูล Google แบบทั่วไป

โดยคำตอบของ Google’s SGE จะมีการแนะนำลิงก์ข้อมูลให้อย่างครบถ้วน และครอบคลุมในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสรุปประเด็น นำเสนอลิงก์ข้อมูล หรือแม้แต่หยิบเอาวิดีโอที่เกี่ยวข้องมาแสดงผล พร้อมกันนั้น หากผู้ใช้ต้องการข้อมูลอื่น ๆ นอกเหนือไปจากสิ่งที่ Google’s SGE ตอบมา ก็สามารถกดปุ่ม Ask a follow up เพื่อสนทนากับแชตบอตเพิ่มเติมได้ ซึ่งเจ้าบอตตัวนี้ก็จะเรียนรู้ข้อมูลที่เราหาไว้ก่อนหน้านี้และช่วยหาข้อมูลให้เราต่อไป ทำให้เราไม่ต้องมาป้อนคำถามกับบอตใหม่ให้เสียเวลา ส่งผลให้ประสบการณ์การค้นหาของผู้ใช้ดียิ่งขึ้นไปอีกขั้น

ทั้งนี้ การแสดงผลของ Google’s SGE ยังให้ผลลัพธ์มากกว่าการเซิร์ชใน Google แบบปกติด้วย เพราะหากผู้ใช้ป้อนคำถามเข้าไป พื้นที่แสดงผลของ Generative AI ตัวนี้ก็จะไปปรากฏใต้กล่องค้นหาเหนือลิงก์แรก และที่สำคัญยังแสดงผลเกือบเต็มหน้าจอ นอกจากนี้ Google ยังออกแบบให้แสดงคำตอบผ่านสีพื้นหลังอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัด ๆ ของคำตอบที่มาจาก Generative AI โดยเฉพาะ

 

หลักการทำงาน Google’s Search Generative Experience (SGE) 

Google’s Search Generative Experience (SGE) คือ Generative AI ที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วตามต้องการ โดยเบื้องหลังเทคโนโลยีใหม่ตัวนี้คือรูปแบบโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model, LLM) ที่ทำหน้าที่ในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างอัตโนมัติ รวมถึงเรียนรู้การเชื่อมคำได้คล้ายกับมนุษย์ โดยในตอนนี้ Google ได้ใช้โมเดลตัวนี้เวอร์ชันใหม่ ซึ่งก็คือ Pathways Language Model2 หรือที่เรียกว่า  “PaLM2” จึงทำให้สามารถตอบสนองต่อคำถามของผู้ใช้งานได้ครบถ้วนและหลากหลาย รองรับได้กว่า 100 ภาษา และมีความสามารถในการให้เหตุผล เขียนโค้ดและแก้โจทย์ นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานได้ทั้งในส่วนของ Google Chrome บน Desktop และบนโทรศัพท์มือถือทั้งระบบ IOS และ Android อีกทั้งคำตอบที่ถูกประมวลมาให้กับผู้ใช้ ยังถูกคัดสรรเนื้อหาภายใต้หลักเกณฑ์ประเมินคุณภาพของ Google อย่าง Google E-E-A-T อีกด้วย

 

Google’s Search Generative Experience (SGE) ส่งผลอย่างไรต่อ SEO

นักทำ SEO หลายคนอาจกำลังกังวลว่าการเปิดตัวของ Google’s Search Generative Experience (SGE) จะส่งผลต่อการทำหรือบริการ SEO หรือไม่อย่างไร เพราะนี่ถือเป็นการปฏิวัติการ Search และการแสดงผลในหน้าค้นหาครั้งใหญ่ ที่อาจทำให้เว็บไซต์ SEO ถูกดันลงไปในอันดับต่ำกว่าเดิม?

แน่นอนว่าการมาของ Google’s Search Generative Experience (SGE) ทำให้ประสบการณ์ Search เปลี่ยนแปลงไปในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น

  • การแสดงผลเกือบเต็มหน้าจอแทนรายการค้นหา
  • การที่ AI ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้เร็วขึ้น พร้อมกันนั้น ยังมีฟีเจอร์ Ask a Follow Up เพื่อมอบข้อมูลให้ผู้ใช้เพิ่มเติม
  • แนวทางการ Search ที่ Google’s SGE จะแนะนำคีย์เวิร์ดใกล้เคียงให้เราเพิ่มเติม

ด้วยเหตุนี้ การทำ SEO จึงจำเป็นต้องปรับตัวตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นในแง่คุณภาพของเนื้อหา ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ หรือแม้แต่ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้ ถึงแม้ว่าเว็บฯ ของเราจะโชว์ในหน้าถัดไปของการแสดงผลใน Google’s SGE ก็ตาม 

ทว่า ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่นักทำ SEO ก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป เพราะตอนนี้การมาของ Google’s SGE ยังไม่ได้ส่งกระทบต่อการทำ SEO โดยตรง เนื่องจาก Google’s SGE ยังไม่ได้เปิดตัวให้ใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งในตอนนี้จำกัดการใช้งานอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และที่สำคัญไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสิทธิเข้าถึงการค้นหาในรูปแบบนี้ จึงอาจพูดได้ว่าในการทำ SEO ตอนนี้จะยังไม่ได้รับผลกระทบหรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก 

อีกทั้งความสามารถของ Google’s SGE กับการให้คำตอบกับผู้ใช้งานในตอนนี้ ก็อาจยังไม่ครบถ้วนทุกมิติ ดังนั้น ถึงแม้ Google จะปรับการให้คำตอบของ Google’s SGE โดยแสดงผลบริเวณด้านล่างของกล่องค้นหาให้ผู้ใช้เห็นเป็นอันดับแรก แต่ผู้ใช้ก็มีแนวโน้มที่จะเลื่อนลงไปหาข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมจากเว็บไซต์ SEO ที่อยู่ในลำดับถัด ๆ ไปอยู่ดี

และแม้ Google’s SGE จะตอบคำถามง่าย ๆ ได้ แต่คำถามที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง Google’s SGE ก็อาจยังนำเสนอข้อมูลได้ไม่ตรงจุดเท่าไหร่นัก ดังนั้น เว็บไซต์ SEO จึงยังมีความจำเป็นและไม่ได้หมดบทบาทไปแต่อย่างใด

 

Google’s Search Generative Experience (SGE) มีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้าง?

สำหรับ Google’s Search Generative Experience (SGE) ก็มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอยู่หลายรูปแบบ ซึ่งเราขอยกตัวอย่างฟีเจอร์เด่น ๆ มาให้รู้กัน ดังนี้!

1.   AI-Powered Snapshots

นี่คือฟีเจอร์ที่ทำให้การแสดงผลลัพธ์ของ Google’s SGE อยู่ด้านบนสุดเสมอ โดยหากผู้ใช้ต้องการข้อมูลที่ลึกมากกว่าเดิม ก็สามารถใช้ฟีเจอร์ตัวนี้ค้นเนื้อหาต่อจากคำถามแรกได้เลย พร้อมกันนั้น AI ยังจะแสดงแหล่งอ้างอิงข้อมูลไว้ให้ด้วย เพื่อที่ผู้ใช้จะได้ตรวจสอบความถูกต้องและนำข้อมูลที่เชื่อถือได้ไปใช้มากที่สุด

2.   FAQ Ask & Knowledge Panel

เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถถามคำถาม Google’s SGE ได้แบบเดียวกับ Google Bard พร้อมกันนั้นหากคำตอบที่ได้ยังไม่ครอบคลุมมากพอ ผู้ใช้ก็สามารถกดตัวช่วยเพิ่มเติมอย่าง Ask a follow up เพื่อให้ Google ช่วยหาคำตอบที่หลากหลายมากขึ้นได้อีกด้วย 

3.   Shopping & Review

สำหรับฟีเจอร์นี้ เป็นฟีเจอร์ที่เหมาะกับนักการตลาดออนไลน์มากเลยทีเดียว เพราะเมื่อลูกค้าทำการ Search เพื่อค้นหาสินค้า Google’s SGE จะแสดงผลในรูปแบบการตอบคำถามและรีวิวสินค้า แตกต่างจากการแสดงผลแบบเดิมที่จะโชว์เพียงแหล่งซื้อและลูกค้าต้องไปหารีวิวอ่านเองภายหลัง และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือ รีวิวที่แสดงผลผ่าน Google’s SGE จะถูกทำขึ้นจาก AI ด้วย!

4.   Local Pack Feature

Google’s SGE มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ปรับให้ Local Pack (การแสดงผลในรูปแบบของพิกัดที่ตั้งจากพื้นที่ของ Google Map) ดีขึ้นกว่าเดิม โดยในส่วนนี้ Google จะปรับปรุงให้มีส่วนของข้อความสั้นที่อธิบายสถานที่นั้น ๆ โดยสังเขป ทำให้ผู้ใช้สามารถกดลิงก์เพื่อไปยังแหล่งที่มาของข้อมูล และยังสามารถกด Ask a follow up ในกรณีที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกัน 

5.   Vertical Experience

ความโดดเด่นของฟีเจอร์อย่าง Vertical Experience ใน Google’s SGE คือ ผลลัพธ์การค้นหาของผู้ใช้ในหน้า Google Shopping หรือ Local SEO ที่จะมีการแสดงผลแบบแนวตั้งซึ่งแตกต่างไปจากเดิม โดยความพิเศษของการแสดงผลแบบนี้ก็คือ ลูกค้าจะเห็นข้อมูลเชิงลึกของสินค้าได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคา การให้คะแนน คุณสมบัติ ฯลฯ จนสามารถพิจารณาและตัดสินใจซื้อได้ง่ายและเร็วมากขึ้น พร้อมกันนั้น Google’s SGE ยังดึงสินค้ามาแสดงผลได้แบบเรียลไทม์มากถึง 35 พันล้านรายการ ทำให้ผู้ใช้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลและเลือกซื้อได้ง่ายกว่าเดิม

6.   Advertisement

การยิงโฆษณาของ Google’s SGE โดดเด่นมากกว่าแบบ Google Search ดั้งเดิม เพราะนอกจากจะโชว์โฆษณาแล้ว ใน Google’s SGE ยังมอบข้อมูลที่มีประโยชน์พร้อมกับสร้าง Impression ให้ธุรกิจในโฆษณานั้น ๆ ไปพร้อมกันได้ด้วย! จึงช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น และใช้ข้อมูลนั้น ๆ โน้มน้าวให้เกิดยอดขายได้มากกว่าเดิม

 

ประโยชน์ของ Google’s SGE มีอะไรบ้าง?

ด้วยความสามารถของ Generative AI ทำให้ผู้ที่ใช้ Google’s SGE ในการค้นหา ได้รับข้อมูลทั้งแบบข้อความ การแทรกภาพ วิดีโอประกอบ และมีลิงก์คำตอบเพื่อดูรายละเอียดอื่น ๆ ส่งผลให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ค้นหาที่ดีมากขึ้น!

อีกทั้ง Google’s SGE ยังโดดเด่นในเรื่องการรวบรวมข้อมูลสินค้าและบริการ โดยผู้ใช้จะเห็นสินค้าโชว์เป็นลิสต์รายการ พร้อมข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นราคา รีวิว คุณสมบัติสินค้า รวมไปถึงข้อมูลการสั่งซื้อ พร้อมกันนั้น ยังมีฟีเจอร์ที่เอื้อต่อการเปรียบเทียบสินค้า จึงช่วยให้ผู้ใช้เลือกสินค้าที่ต้องการได้อย่างเหมาะสม ทำให้ประสบการณ์การค้นหามีประสิทธิภาพมากขึ้นไปด้วย

 

Google’s SGE มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน!

Google’s SGE ก็มีข้อจำกัดบางอย่างด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ทำให้บางครั้งผลการค้นหาก็ไม่ได้แม่นยำหรือตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ อีกทั้งหากเป็นคำถามที่ซับซ้อน Google’s SGE ก็จะใช้เวลาในการประมวลผลที่เพิ่มขึ้น ทำให้การตอบคำถามช้าลงตามไปด้วย รวมถึงในนี้ Google’s SGE ยังไม่รองรับในหลาย ๆ ภาษา จึงอาจทำให้ไม่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนทั่วโลกมากนัก 

อย่างไรก็ดี คาดว่าในอนาคต Google จะนำสิ่งนี้ไปพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อให้ Google’s SGE เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถสร้างประสบการณ์การค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

 

วิธีใช้ Google’s Search Generative Experience (SGE)

แม้ว่าตอนนี้ Google’s Search Generative Experience ยังจะไม่เข้าไทย และเปิดใช้แค่ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี หากเปิดตัวในไทยเมื่อไร ทุกคนก็สามารถไปลองเล่นกันได้ที่ลิงก์ https://labs.withgoogle.com/sge/ และ https://labs.withgoogle.com/

Google Search


สรุป

แม้จะยังไม่เปิดตัวให้ใช้งานในประเทศไทย แต่ Google’s Search Generative Experience ก็ถือเป็นการค้นหาในรูปแบบใหม่ ที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการทำ SEO ในอนาคตก็เป็นได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องอัปเดตเทรนด์เรื่องนี้เอาไว้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ Google’s SGE เปิดตัวอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อไร ธุรกิจของคุณจะได้นำมาปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างทันท่วงที

แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าจะนำ Google’s SGE มาปรับใช้กับธุรกิจอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถปรึกษากับ Primal Digital Agency ของเราได้เลย เราคือบริษัททำ SEO ชั้นนำที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางพร้อมให้ความช่วยเหลือ ถึงเวลาทำให้ธุรกิจคุณเติบโตไปอีกขั้น ถ้าพร้อมแล้วก็กรอกรายละเอียดเพื่อติดต่อเราได้เลยตอนนี้!