Organic VS Paid Social Media ทำร่วมกันอย่างไรเพื่อผลลัพธ์ที่ตรงใจ?

ปัจจุบัน ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โซเชียลมีเดียได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อนักการตลาดที่จำเป็นต้องหันมาใช้กลยุทธ์โซเชียลมีเดียทั้งแบบ Organic และ Paid เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น 

เพราะการทำคอนเทนต์ให้โดนใจ เพื่อสื่อสารให้กับกลุ่มเป้าหมายได้รู้ว่าคุณเป็นใคร และขายอะไรอาจยังไม่เพียงพอ เราจึงจะพาทุกคนไปดูถึงความแตกต่างระหว่างการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียแบบ Organic และ Paid Social Media ว่ากลยุทธ์แบบไหนจะสามารถช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และหากเรานำทั้งสองกลยุทธ์นี้มาใช้ร่วมกัน ผลลัพธ์ทางการตลาดที่ได้จะให้ผลลัพธ์ไปในทิศทางใด มารู้พร้อมกันได้ในบทความนี้!

ความแตกต่าง Organic Social Media และ paid social media

ทำความรู้จักกับการทำการตลาดแบบ Organic Social Media

หลาย ๆ ครั้งที่คอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียมียอดกดไลก์ กดแชร์ และคอมเมนต์เป็นจำนวนมากจนทำให้แบรนด์มีผู้ติดตามมาซื้อสินค้ามากขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ จะถูกเรียกว่าการทำคอนเทนต์แบบ Organic Social Media

Organic ถ้าแปลอย่างตรงตัว จะหมายถึงความเป็นธรรมชาติและไม่ถูกปรุงแต่ง ดังนั้น คอนเทนต์ที่มีความ Organic บน Social Media จึงเป็นการทำคอนเทนต์ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายโดยตรง เว้นแต่จะมีการจ้าง Outsource ในกรณีที่ไม่สามารถทำเองได้ และเมื่อนำไปเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ผู้ที่เห็นคอนเทนต์เกิดความสนใจและอยากมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้น ๆ จนทำให้เกิดการแชร์ต่อกันไปเป็นทอด ๆ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียค่าพื้นที่ในการลงโฆษณา

การทำ Organic Content ให้ประสบความสำเร็จสามารถทำได้ไม่ยาก เทคนิคง่าย ๆ ก็คือเราควรต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เราคือใคร ต้องการอะไร และที่สำคัญควรสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจพวกเขาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับเทรนด์ ณ เวลานั้น ๆ สร้างคอนเทนต์น่าจดจำที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นแล้วนึกถึงแบรนด์ของเราทันที สร้างคอนเทนต์วิดีโอ รวมถึงสร้างคอนเทนต์ที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับเราจนอยากส่งต่อคอนเทนต์ของเราให้กับคนอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น

แม้จะสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายแถมไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็ใช่ว่า Organic Social Media จะไม่มีข้อเสีย เพราะการทำการตลาดแบบ Organic อาจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ช้ากว่า ยิ่งด้วยปัจจุบันอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ ยังมีการจำกัดการมองเห็น ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงคอนเทนต์ได้ยากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อให้แบรนด์ยังอยู่ในสายตาของกลุ่มเป้าหมาย จึงเป็นที่มาของการใช้ Paid Social media เข้ามามีส่วนช่วยในการทำการตลาดออนไลน์มากยิ่งขึ้น 

 

การทำการตลาดแบบ Paid Social Media

Paid Social Media คือการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา เป็นการกระตุ้นให้ระบบนำส่งตัวคอนเทนต์ที่เราซื้อโฆษณาส่งต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายได้เห็น ตามวัตถุประสงค์และจำนวนเงินที่เราตั้งงบประมาณเอาไว้ ทำให้คอนเทนต์หรือแคมเปญของเราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงยังช่วยขยายขอบเขตการมองเห็นให้กว้างขึ้นกว่าแบบ Organic Social Media

การซื้อพื้นที่โฆษณาของ Paid Social Media นักการตลาดจำเป็นต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำ อีกทั้งยังต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมและความต้องการ รวมถึงรู้ช่วงเวลาที่พวกเขาเล่นโซเชียลมีเดียบ่อย ๆ จากนั้นก็ออกแบบโฆษณาที่ตอบโจทย์ความสนใจและส่งต่อไปให้พวกเขาได้เห็น ปัจจุบัน Paid Social Media มีอยู่ด้วยกันหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook Ads, Instagram Ads, TikTok Ads รวมถึง Marketing Influencer

 

Organic และ Paid Social Media มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร?

อย่างที่ได้กล่าวไปว่า Organic Social Media คือการทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียที่ไม่มีค่าใช้จ่ายโดยตรงเพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างธรรมชาติ แต่สำหรับ Paid Social Media จะเป็นการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา แต่นอกจากวิธีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจะแตกต่างกันแล้ว กลยุทธ์ของทั้งสองรูปแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันด้วย

ข้อดีของ Organic Social Media คือการช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้คนเห็นมากขึ้นแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า รวมถึงทำให้แบรนด์สื่อสารกับลูกค้าได้แบบไม่จำกัด อย่างไรก็ดี การทำการตลาดแบบ Organic อาจมีข้อเสียตรงที่ต้องใช้เวลาทดลองและเก็บเกี่ยวประสบการณ์กว่าจะสามารถสร้างคอนเทนต์ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้ ทำให้กว่าแคมเปญจะสำเร็จผลก็อาจช้ากว่าคู่แข่งไปหลายก้าว

ส่วน Paid Social Media มีข้อดีอยู่ที่คอนเทนต์ของแบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและเป็นวงกว้าง เนื่องจากตอน Optimize แบรนด์จะสามารถกำหนดได้เลยว่าต้องการให้โฆษณาไปปรากฏที่กลุ่มเป้าหมายใด ความสนใจแบบใด หรือแม้กระทั่งในช่วงเวลาไหนที่ต้องการแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้ไม่จำเป็นต้องรอให้พวกเขามาเห็นคอนเทนต์ของเราเอง และไม่ต้องรอให้สินค้าถูกบอกต่อ นอกจากนี้การใช้กลยุทธ์ Paid ยังสามารถส่งคอนเทนต์ให้ลูกค้าได้รวดเร็ว ทันที ทำให้แบรนด์เชื่อมต่อกับลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากกว่า

Organic Social Media Vs paid social media

อยากทำการตลาดให้ปังต้องทำร่วมกันทั้ง Organic และ Paid Social Media

เพราะในการทำคอนเทนต์ที่มีความ Organic จะสามารถช่วยเพิ่มการรับรู้ ส่วนวิธีการแบบ Paid จะช่วยให้คอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากนักการตลาดนำกลยุทธ์ทั้งสองมาใช้ควบคู่กัน ก็อาจทำให้แคมเปญมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมได้แบบคูณสอง แต่จะทำอย่างไรถึงจะสามารถผสานสองกลยุทธ์เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่โดนใจมากที่สุด เรามีเทคนิคมาแนะนำดังนี้

1.   ซื้อโฆษณาเฉพาะคอนเทนต์ที่จำเป็น

เมื่อต้องการใช้กลยุทธ์ Organic และ Paid ควบคู่กัน ควรพิจารณาให้ดีว่าคอนเทนต์ไหนควรใช้กลยุทธ์ใดเพื่อที่จะได้ใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เราขอแนะนำว่าคอนเทนต์ที่ควรใช้กลยุทธ์แบบ Organic Social Media อาจเป็นคอนเทนต์ที่ผู้ติดตามจะสามารถมองเห็นได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เช่น คอนเทนต์แนะนำสินค้า โดยหากเป็นแพลตฟอร์ม Facebook ก็อาจปักหมุดไว้ หรือถ้าเป็นแพลตฟอร์ม Instagram ก็อาจใส่ไว้ในไฮไลท์สตอรี่ จากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาอีกทีว่าคอนเทนต์ใดที่เหมาะแก่การซื้อโฆษณา โดยแนะนำว่าหากไม่ต้องการคิดคอนเทนต์ใหม่ หรือยังไม่แน่ใจว่าคอนเทนต์สำหรับซื้อโฆษณาควรเป็นแบบใด ก็ให้ซื้อโฆษณาจากคอนเทนต์ Organic ที่มียอด Engagement เยอะ ๆ อยู่แล้วไปก่อน เพราะจะได้มั่นใจว่าคอนเทนต์จะโดนใจกลุ่มเป้าหมายแน่ ๆ แล้วเมื่อแบรนด์มีประสบการณ์มากพอก็ค่อยนำข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่รวบรวมได้ ไปวางแผนสร้างคอนเทนต์เพื่อกลยุทธ์ Paid โดยเฉพาะต่อไป

2.   ใช้ A/B Testing ทดสอบโพสต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

หากคิดว่าอยากใช้กลยุทธ์ Paid Social Media แต่ไม่รู้ว่าควรใช้คอนเทนต์ใหม่หรือใช้คอนเทนต์ Organic อันเดิมดี ให้ลองใช้ A/B Testing ทดสอบก่อนว่าคอนเทนต์ที่มี Key Message แบบใดจะโดนใจกลุ่มเป้าหมายที่สุด โดยให้ลองทดสอบทั้งการเขียนคำโฆษณา ภาพ ฟอร์แมต เพื่อสุดท้ายแล้วจะได้นำงบประมาณไปใช้กับคอนเทนต์นั้น ๆ จนทำให้การซื้อโฆษณามีประสิทธิภาพที่สุดได้

3.   นำข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย Organic มาใช้ซื้อโฆษณา

ยิ่งกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงโพสต์ Organic มากเท่าไร ก็หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ของแบรนด์ไปใช้ยิงโฆษณามากขึ้นเท่านั้น วิธีนี้เป็นการใช้สองกลยุทธ์ร่วมกัน ที่จะทำให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเกิดความแม่นยำมากกว่าการกำหนดด้วยตนเอง เพราะหากเอาข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้ามาชมสินค้าหรือเคยมีส่วนร่วม หรือแม้แต่เคยซื้อสินค้าจากคอนเทนต์ Organic  นักการตลาดก็สามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนสร้างคอนเทนต์ และยิงโฆษณาที่น่าดึงดูดใจเพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้นได้ ถือเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความแม่นยำสูง 

4.   ใช้เครื่องมือการตลาดช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์

การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ผลการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียจะช่วยให้รู้ว่าแคมเปญไหนหรือกลยุทธ์ใดเวิร์คหรือไม่เวิร์ค ซึ่งเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ทำให้นักการตลาดรู้ว่าควรใช้กลยุทธ์ Organic หรือ Paid และอันไหนได้ผลมากกว่า เพื่อที่จะได้นำไปต่อยอดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

5.   รู้จุดแข็งของแต่ละแพลตฟอร์ม

แม้จะเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหมือนกัน แต่ในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีจุดแข็งและผู้ใช้แตกต่างกันไป ดังนั้น การจะใช้กลยุทธ์ Organic และ Paid ให้ได้ผล นักการตลาดก็ควรหยิบจับจุดแข็งของแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้ เพื่อที่จะสามารถวางแผนใช้กลยุทธ์ทั้งสองร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

·  Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้คุ้นเคยที่สุด มียอด Reach ถึง 1.2 พันล้านยูสเซอร์ ส่วนมากผู้ใช้มักใช้เพื่อตามข่าวและพูดคุยในคอมมิวนิตี้เดียวกัน อีกทั้ง Facebook ยังเป็นแพลตฟอร์มแรก ๆ ที่ผู้คนนึกถึง แบรนด์จึงควรนำกลยุทธ์ทั้ง Organic และ Paid มาใช้ควบคู่กัน โดยอาจเพิ่มยอดมองเห็นให้กับแบรนด์ด้วยคอนเทนต์แบบ Organic ก่อน จากนั้นจึงอาจยิงโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์ Paid

·  Instagram เป็นแพลตฟอร์มสำหรับโชว์ไลฟ์สไตล์และแบรนด์ดิ้ง นักการตลาดอาจใช้กลยุทธ์ Organic เพื่อนำเสนอตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจน จากนั้นอาจใช้กลยุทธ์ซื้อโฆษณาทางสตอรี่หรือโพสต์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น

·  Twitter เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้มักอัปเดตเทรนด์และข่าวสาร ดังนั้นจึงเหมาะกับการใช้วิธีอย่าง Organic เพื่อสร้างคอนเทนต์ในการสื่อสารข้อมูลสินค้าหรือบริการของแบรนด์ อย่างการทำคอนเทนต์พูดคุยกับลูกค้าเพื่อให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น จากนั้นอาจใช้กลยุทธ์ Paid เพื่อซื้อโฆษณาในคอนเทนต์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า (Engagement) เยอะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดรีทวีตเยอะหรือยอดกดไลก์เยอะ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงอีกช่องทางหนึ่ง

·  TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ ด้วยรูปแบบวิดีโอสั้น ๆ และ Feed ที่ไถง่าย ทำให้สามารถส่งคอนเทนต์ Organic ที่ให้ความรู้ รวมถึงคอนเทนต์ในแบบไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่คอนเทนต์ตลก ๆ ทำให้เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้น TikTok ยังสามารถสร้างแคมเปญโฆษณาที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ (Awareness), การพิจารณาเพื่อตัดสินใจซื้อ (Consideration) รวมถึงการเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่สนใจกลายเป็นผู้ซื้อในที่สุด (Conversion) ด้วยคอนเทนต์เหล่านั้น  

 

สรุป

หากสามารถหยิบข้อดีของทั้ง Organic และ Paid Social Media มาทำการตลาดควบคู่กันไป ก็จะช่วยให้ผลลัพธ์ทางการตลาดของแบรนด์เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ แต่สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือไม่รู้ว่าควรใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไหนถึงจะให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด ติดต่อ Primal Digital Agency ตอนนี้ได้เลย เรามีผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คนพร้อมให้ความช่วยเหลือ สามารถกรอกรายละเอียดเพื่อปรึกษาแผนการตลาดกับเราได้เลยตอนนี้!