Facebook Creator Studio คืออะไร ช่วยเรื่องทำเพจได้อย่างไร?

นักการตลาดออนไลน์หลายคนที่มีเพจ Facebook เป็นของตัวเอง คงจะทราบกันดีว่าการจัดการและดูแลเพจนั้นวุ่นวายขนาดไหน เนื่องจากมีหลายหน้าที่และต้องใช้ความละเอียดสูง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ถูกใจผู้ติดตาม หรือการเฝ้าดูผลตอบรับทางสถิติเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์การตลาดในการทำคอนเทนต์ครั้งต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะไม่ยากลำบากเลยหากเรารู้จัก “Facebook Creator Studio” เครื่องมือจาก Facebook ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาสำหรับคนทำเพจ ตลอดจนช่วยเราดูผลตอบรับทางสถิติของแต่ละโพสต์ได้แบบเชิงลึกกันเลยทีเดียว และที่สำคัญ เครื่องมือนี้ไม่ได้ใช้จัดการหน้าเพจบน Facebook ได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้บน Instagram ไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย!

Facebook Creator Studio จำเป็นไหม

Facebook Creator Studio คืออะไร?

เคยไหม? แค่คิดว่าต้องลงคอนเทนต์และเก็บข้อมูลจากหลาย ๆ ช่องทางก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งหากเรามีเพจที่ต้องดูแลมากกว่า 1 บัญชี ก็ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นในการจัดการ แต่ Facebook Creator Studio จะช่วยให้การทำงานด้านนี้ของเราง่ายขึ้น!

Facebook Creator Studio คือ เครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำเพจ Facebook และ Instagram ซึ่งประกอบไปด้วยฟังก์ชันการจัดการโพสต์ การตั้งเวลาโพสต์  การวัดผลเนื้อหาบนเพจและดูข้อมูลเชิงลึกของแต่ละโพสต์ ว่ายอดการมีส่วนร่วมเป็นอย่างไร โดยเครื่องมือนี้จะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว เป็นระเบียบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าจะต้องดูแลกี่เพจก็ตาม ที่สำคัญ หากร้านค้ามีทีมงานหลายคนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้เกิดความสับสน เพราะใน Facebook Creator Studio จะมีการกำหนดให้แอดมินเพจแต่ละคนสามารถจัดการได้แค่หน้าที่และข้อจำกัดของตนเองเท่านั้น

นอกจากนี้ Facebook Creator Studio คือเครื่องมือที่ใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ไม่ว่าจะในเวอร์ชันแอปพลิเคชันบน iOS และ Android หรือบนเว็บไซต์ ก็สามารถจัดการคอนเทนต์ได้ง่ายทุกที่ ทุกเวลา

 

Facebook Creator Studio ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

ช่วยเผยแพร่เนื้อหาบนหน้าหลัก

Facebook Creator Studio ช่วยให้เราสามารถเผยแพร่เนื้อหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอัปโหลดวิดีโอได้หลายคลิปในครั้งเดียว การโพสต์เนื้อหาข้ามเพจ หรือการตั้งเวลาโพสต์ที่สามารถเลือกวันย้อนหลังได้ หรือจะโพสต์เป็นแบบร่าง (Draft) เอาไว้โพสต์ในอนาคตก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้การดูแลและจัดการเพจเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

ช่วยจัดการเนื้อหาต่าง ๆ

ในส่วนนี้ เราสามารถเช็กข้อมูล คัดกรองเนื้อหา รวมถึงค้นหาวิดีโอ ลิงก์ รูปภาพ พร้อมโพสต์ข้อความทั้งหมดของทุกเพจที่เรามีอยู่ได้เลย ทั้งยังสามารถดูข้อมูลเชิงลึกและดำเนินการโพสต์คอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ เช่น โปรโมชัน การแก้ไข การลบโพสต์ เป็นต้น

ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เพจ

ฟังก์ชันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหล่าร้านค้ามีพื้นที่ในการโฆษณาแบรนด์ของตนเองเพิ่มขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ติดตามได้ร่วมสนับสนุนแบรนด์ที่ชอบด้วย โดยร้านค้าสามารถตรวจสอบสิทธิ์การใช้งาน การสมัคร และการเริ่มต้นใช้งานโฆษณาที่มีในสตรีมได้ เมื่อเราเริ่มใช้งานแล้ว ก็จะมีการเปิดรับสมัครผู้สนับสนุน ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์ของเราก็จะเข้ามาสมัครและทำการให้ดาว จากนั้นเราก็สามารถสร้างรายรับให้แก่เพจของตนเองได้เลย เพียงแค่กดเมนู “สร้างรายได้” ก็จะพบกับฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การดูรายการเงินเดินบัญชี การจัดการโฆษณาแต่ละโพสต์ในการสตรีมบนเพจ และการโปรโมตต่าง ๆ เป็นต้น

จัดการกล่องข้อความ (Inbox) และคอมเมนต์ได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเรามีหลายเพจที่ต้องดูแล มีคอนเทนต์หลายอย่างที่ต้องลง การจะมาคอยจัดการกับคอมเมนต์เพื่อตอบกลับลูกค้าให้ครบทุกคนก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ Facebook Creator Studio นั้นมีฟังก์ชันไว้ให้ร้านค้าได้ดูข้อความอินบ็อกซ์และคอมเมนต์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ เข้าใจง่าย ไม่ว่าจะมีฟีดแบ็กเข้ามาเยอะแค่ไหน เราก็สามารถเห็นได้หมด ทั้งบน Facebook และ Instagram ทำให้สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

สามารถดาวน์โหลดเสียงเอฟเฟกต์และเพลงได้โดยไม่ติดลิขสิทธิ์

นอกเหนือจากช่วยดูแลเพจแล้ว Facebook Creator Studio ยังช่วยให้การสร้างสรรค์คอนเทนต์ง่ายและดูน่าสนใจขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดเสียงเอฟเฟกต์หรือเพลงมาใส่ในวิดีโอที่โพสต์ลง Facebook ได้ฟรีและถูกกฎหมาย โดยหมวดหมู่ของเสียง (Sound Collection) จะแบ่งตามประเภท อารมณ์ ความยาว และเสียงร้อง ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบ ถูกใจผู้ใช้งานหลายคนเลยทีเดียว

 

ทำไมจึงควรใช้ Facebook Creator Studio?

ประหยัดเวลาเพราะมีฟังก์ชันช่วยตั้งเวลาโพสต์

การตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้านั้น ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยให้เราสามารถวางแผนปฏิทินคอนเทนต์และปรับแผนกลยุทธ์บนโซเชียลมีเดียได้อย่างดีเยี่ยม โดย Facebook Creator Studio จะมีฟีเจอร์ Content Library ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถกำหนดเวลาลงโพสต์เองได้ รวมถึงสามารถเห็นภาพรวมของโพสต์ทั้งหมดที่กำหนดไว้ในหน้าเพจของเรา ซึ่งเราสามารถใช้ตัวกรองข้อมูล (Filter) เพื่อหาโพสต์ที่ต้องการได้ เช่น

ประเภทโพสต์ : ภาพถ่าย, วิดีโอ, ลิงก์, ข้อความ

สถานะการโพสต์ : โพสต์, หมดอายุ, กำหนดเวลา, แบบร่าง

ช่วงเวลา : ดูโพสต์จากเดือน หรือปีที่ต้องการ

ทั้งนี้ หากเราต้องการตั้งเวลาโพสต์ใน Instagram ด้วย จะต้องทำใน Facebook Creator Studio ก่อน เพราะ Instagram ยังไม่มีฟีเจอร์นี้โดยตรง โดยเราสามารถสร้างโพสต์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่ม “สร้างโพสต์” ที่ด้านบนซ้ายของจอ และเลือกโพสต์ไปยังหน้าฟีด Instagram หรือ IGTV ของเรา ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราสามารถเพิ่มรูปภาพได้หลายภาพ ติดแทกในโพสต์ เปิด-ปิดความคิดเห็นได้พร้อมกันในครั้งเดียว และหากเพิ่มรายละเอียดทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เราก็สามารถกดโพสต์หรือกำหนดเวลาโพสต์ได้ทันที โดยปัจจุบันสามารถตั้งเวลาโพสต์คอนเทนต์ล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Facebook Creator Studio ยังไม่สามารถกำหนดเวลา Stories ได้ทัั้งใน Facebook และ Instagram

ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของทั้ง Facebook และ Instagram

ในการทำการตลาดจะขาดขั้นตอนนี้ไปไม่ได้เลย นั่นก็คือ ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย เพราะสิ่งที่ได้มาจะทำให้เราสามารถนำไปวางแผนกลยุทธ์ของธุรกิจต่อไปได้ เช่น

  • ได้รู้ว่าผู้ติดตามส่วนใหญ่ของเราชอบหรือไม่ชอบอะไร
  • ประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดียของตนเองได้
  • วิเคราะห์ผลกระทบโดยรวมของธุรกิจล่วงหน้าได้
  • ช่วยพัฒนาและปรับปรุงแคมเปญการตลาดให้ดียิ่งขึ้น

โดยเราสามารถคลิกที่เมนู “ข้อมูลเชิงลึก” หรือ “Insights” เพื่อรับรู้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโพสต์ต่าง ๆ และกลุ่มเป้าหมายของเราได้ ดังนี้

Performance (ประสิทธิภาพของโพสต์)

  • จำนวนนาทีที่รับชมทั้งหมด
  • จำนวนครั้งที่เล่นวิดีโอ (นับตอน 1 นาที)
  • การมีส่วนร่วมกับวิดีโอ เช่น การแสดงความรู้สึก (Reaction) การแสดงความคิดเห็น (Comment) หรือการแบ่งปัน (Share)

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่วนนี้บน Instagram จะอยู่ในเมนูที่ชื่อว่า “กิจกรรม” หรือ “Activity”

Loyalty (ความภักดี)

  • จำนวนผู้ติดตามสุทธิ
  • จำนวนครั้งที่วิดีโอของเราถูกเล่นไป อย่างน้อย 97%
  • จำนวนผู้ที่กลับมารับชมวิดีโอของเราอีกครั้ง

Audience (กลุ่มเป้าหมาย)

  • อายุและเพศ
  • ประเทศที่อาศัยอยู่
  • ภาษาที่ใช้
  • ความสนใจ
  • ช่วงเวลาและจำนวนเวลาที่ใช้
  • เพจที่ผู้ติดตามของเรากดถูกใจ
  • วิดีโอที่ผู้ติดตามของเรากำลังรับชม

Earnings (รายได้)

ฟีเจอร์นี้จะใช้ได้เฉพาะกับเพจที่มีการใช้งานผลิตภัณฑ์เพื่อการสร้างรายได้อยู่แล้วอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ได้แก่ ช่วงพักโฆษณา การรับสมัครผู้สนับสนุน หรือตัวจัดการการร่วมงานกับแบรนด์

 

สรุป

อย่างไรก็ตาม ที่บทความนี้ได้รวบรวมมาเป็นเพียงฟังก์ชันส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหากใครได้ไปลองใช้กันแล้วก็จะพบว่า Facebook Creator Studio คือเครื่องมีที่ฟังก์ชันเก๋ ๆ อีกมากมาย ช่วยให้เราทุ่นแรงในการทำเพจและโปรโมตแบรนด์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เรายังสามารถจับทางคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้ ทำให้ประสิทธิภาพของการโพสต์สื่อต่าง ๆ ลงโซเชียลมีเดียดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะขายของบน Facebook หรือ Instagram เพียงแค่ใช้ Facebook Creator Studio เราก็จะจัดการส่วนต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ทั้งยังส่งผลให้ร้านดูมีความเป็นมืออาชีพในสายตาของลูกค้าอีกด้วย