Search Intent คืออะไร สำคัญกับการทำคอนเทนต์ขนาดไหน

เราเชื่อว่าหากคุณเป็นนักสร้างคอนเทนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเทนต์ออนไลน์อย่างการทำ SEO คุณคงเคยได้ยินหรือแม้แต่ได้รับบรีฟเกี่ยวกับเรื่อง Search Intent หรือ User Intent มาพอสมควร ซึ่งบางครั้งคุณอาจแค่ฟังหรือรับบรีฟมาแต่ไม่ได้ใส่ใจถึงรายละเอียดใด ๆ ว่ามีความสำคัญอย่างไร ซึ่งรู้หรือไม่ว่า การไม่ใส่ใจเหล่านี้อาจกลายเป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำ SEO ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งบทความในเว็บไซต์ โพสต์ในโซเชียลมีเดียหรือแม้แต่การทำ Video SEO เองก็ตาม เพราะหากคุณละเลย Search Intent ไป โอกาสที่คอนเทนต์ SEO ที่คุณสร้างสรรค์เอาไว้ อาจไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างที่ควรจะเป็น แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ลองไปหาคำตอบกัน!

Search Intent คืออะไร?

จริง ๆ แล้ว อาจไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย เพราะหากแปลตรงตัวแล้ว Search Intent ก็คือ “เจตนาของการค้นหา” ซึ่งความลึกซึ้งของ Search Intent นั้นก็คือการที่เราต้องแยกและมองเจตนาของผู้ใช้งานผ่านคำเพียงไม่กี่คำหรือวลีสั้น ๆ ให้ออกเท่านั้นเอง แต่ในหลาย ๆ บริบทสิ่งนี้มักถูกเรียกว่า User Intent แทน

Search Intent คือ

Search Intent มีอะไรบ้าง?

แม้ว่าหลาย ๆ คนจะคิดว่า หากต้องการมอง User Intent ให้ทะลุปรุโปร่งในแว้บเดียว อาจเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยประสบการณ์ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะในโลกใบนี้มีประเภทของ Search Intent อยู่แล้ว เพียงแค่คุณต้องจับต้นชนปลายและมองธุรกิจของคุณให้ออก รวมถึงพยายามคิดในมุมของผู้บริโภคให้รอบด้าน คุณก็จะเห็นถึงประเภทของ Search Intent ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ 

Informational

ประเภทแรกของ User Intent ก็คือ การที่ผู้ใช้งานค้นหาเพื่อหาคำตอบในข้อมูลเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับบุคคล สินค้า ธุรกิจ หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาสนใจ ซึ่ง Search Intent ประเภทนี้จะพบได้มากที่สุดในการค้นหาก็ว่าได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น “Digital Marketing คือ” หรือแม้แต่ในบทความนี้ ที่คุณอาจพิมพ์คำค้นหาแล้วเจอกับบทความของเรา ซึ่งคุณอาจจะใช้คำว่า “Search Intent คืออะไร” ก็เป็นได้ 

จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของการค้นหาประเภท Informational ซึ่งหากคุณต้องการใช้คีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับเจตนาของผู้ใช้งาน คุณก็สามารถเลือกคำเหล่านี้ไปใช้ในคีย์เวิร์ดได้ เช่น “ใคร” “…คือใคร” “อะไร” “…คืออะไร” “ทำไม…” “ยังไง” “ต่างกันยังไง” “ทำยังไง” เป็นต้น

Navigational

Search Intent ประเภทนี้จะแสดงถึงผู้ใช้งานที่กำลังหาคำตอบในเรื่องของสถานที่ ซึ่งอาจจะเป็นสถานที่จริง ๆ เว็บไซต์ หรือแม้แต่การใช้งานและการตั้งค่าต่าง ๆ บนอุปกรณ์ที่พวกเขาต้องการ ตัวอย่างเช่น “Primal อยู่ที่ไหน” “The Voice ช่องไหน” หรือแม้แต่ “ดูสตอรี่ไอจีที่เคยลง ตรงไหน”

คำที่แสดงถึงเจตนาของผู้ใช้งานประเภทนี้ เช่น “… อยู่ที่ไหน” หรือแม้แต่ชื่อสถานที่ ชื่อเว็บไซต์ ชื่อธุรกิจและหมวดหมู่ต่าง ๆ

Commercial Investigation

ในสายงานการคิดคอนเทนต์สำหรับธุรกิจ User Intent ประเภทนี้ จะมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ใช้งานมีการค้นหาด้วยเจตนาเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับประเภทของสินค้าหรือบริการที่พวกเขาสนใจแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกับธุรกิจของคุณ นั่นก็หมายความว่าโอกาสที่ผลการค้นหาจะแสดงเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ของคุณ เพื่อนำเสนอให้กับผู้ใช้งานก็อยู่ไม่ไกล โดยตัวอย่างของ Commercial Investigation มีอยู่มากมาย เช่น “Digital Agency ที่ไหนดี” “น้ำหอมติดทน” หรือแม้แต่ “ตลาดพลู อะไรอร่อย” เป็นต้น

Commercial Investigation มักจะปรากฏในรูปแบบของคำที่แสดงถึงด้านบวกซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามประเภทของสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เช่น “ถูกที่สุด” “ดีที่สุด” “อร่อยที่สุด” หรือแม้แต่คำสั้น ๆ อย่าง “ติดทน” “ดี” “อร่อย” “สวย” เป็นต้น

Transactional

Search Intent ชนิดนี้คือการที่ผู้ใช้งานได้มีการตัดสินใจแล้วว่าอยากจะซื้อสินค้าหรือบริการใด แต่เป็นการค้นหาเพื่อหาสถานที่ที่จะทำให้กระบวนการการซื้อของพวกเขาเสร็จสิ้น ตัวอย่างเช่น “ซื้อ Iphone” “ลำโพง Marshall ราคาถูก” “จองคิวนวดหน้า Clarins” เป็นต้น หรือแม้แต่การไม่ระบุแบรนด์อย่าง “ขายน้ำหอมแท้ ราคาถูก” ก็ยังถูกจัดว่าอยู่ใน User Intent ประเภทนี้ด้วย โดยคำที่แสดงเจตนาของผู้ใช้งานในประเภทนี้ก็คือคำจำพวกที่แสดงถึงจุดประสงค์ต่าง ๆ เช่น “ซื้อ” “ขาย” “จอง” หรือแม้แต่ “ราคา” เป็นต้น

Search Intent สำคัญยังไง?

University of Hong Kong เคยมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ User Intent ที่มีในการค้นหาต่าง ๆ และพบว่า Search Intent นั้นมีด้วยกันสองกลุ่มใหญ่ ๆ โดยกลุ่มแรกคือผู้ใช้งานที่ต้องการค้นหาข้อมูลแบบจำเพาะเจาะจง ที่เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นหา ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ใช้งานที่ต้องการทราบถึงข้อมูลพื้นฐาน หรือรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจงเป็นพิเศษ

ดังนั้นก็หมายความว่า หากคุณเป็นนักสร้างสรรค์คอนเทนต์และคุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่ “ตรง” หรือ “มีความใกล้เคียง” กับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ค้นหา คอนเทนต์ของคุณก็จะมีโอกาสที่จะแสดงในหน้าการค้นหามากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจุดประสงค์สูงสุดสำหรับนักสร้างคอนเทนต์ก็ว่าได้ เพราะการทำคอนเทนต์ให้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายและตรงกับความต้องการ ย่อมนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีงามเสมอ

 

ใช้ Search Intent ในคอนเทนต์ยังไงให้ปัง?

หากคุณพอจะนึกภาพของ Search Intent ออกบ้างแล้ว เราอยากจะแนะนำให้คุณใช้เครื่องมือช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดอย่าง Google Keyword Planner เพื่อช่วยตรวจสอบอีกครั้ง รวมถึงเป็นการดู Search Volume ของการค้นหาของคำนั้น ๆ หรือแม้แต่เพื่อดูคำคีย์เวิร์ดที่อาจจะมีวอลุ่มที่ดีกว่าหรือคำอื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้คอนเทนต์ของคุณดีขึ้น

และเมื่อคุณได้ชุดคีย์เวิร์ดที่แสดงถึง User Intent ที่เหมาะสมแล้ว คุณก็อย่าลืมใช้คำเหล่านั้นใส่เข้าไปในคอนเทนต์ SEO ของคุณ โดยส่วนที่มีความสำคัญมาก ๆ ที่คุณห้ามลืมใส่คำเหล่านี้ลงไปก็คือ มีทั้งใน Meta Title, Meta Description, Headings รวมถึงควรใช้คำคีย์เวิร์ดเหล่านี้ให้พอดีและกระจายให้ทั่วคอนเทนต์ด้วย คราวนี้โอกาสที่คอนเทนต์ของคุณจะไปแสดงอยู่ที่หน้าแสดงผล เมื่อมีผู้ใช้งานค้นหาก็จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน!