LINE Marketing ปิดการขายไม่ใช่เรื่องยาก หากทำตามนี้!

ธุรกิจออนไลน์ทุกวันนี้เรามีช่องทางมากมายให้เลือกใช้และส่วนใหญ่ก็จะฟรีซะด้วย นั่นจึงไม่แปลกเลยที่ใครๆ ก็หันมาใช้ช่องทางเหล่านั้นทั้ง Social Media ไปจนถึงแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างๆ บทความนี้เราจะมาพูดถึง LINE Marketing ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่หลายธุรกิจเลือกใช้ในการปิดการขาย เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่มีฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ รองรับมากมาย ที่สำคัญคือเราสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้อย่างลื่นไหลอีกด้วย สำหรับฟังก์ชันหรือเครื่องมือต่างๆ ของแอปพลิเคชัน LINE OA รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ LINE Ads Platform สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเก่าๆ ของเราได้ 

LINE Marketing คืออะไร 

แปลตรงตัวก็คือการทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม LINE OA ซึ่งถือเป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงสำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์ด้วยเครื่องมือการใช้งานที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการแชทพูดคุย คูปอง บัตรกำนัล ไปจนถึงการส่งคอนเทนต์ในรูปแบบของข้อความ ฯลฯ นอกจากนั้นการทำ LINE Marketing ยังรวมไปถึงการทำโฆษณาบน LINE Ads Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการทำโฆษณาของ LINE ซึ่งบทความนี้เราจะมาแชร์เทคนิคที่คุณสามารถทำตามหรือนำไปปรับใช้กัน

เพราะการทำ LINE Marketing ถือเป็นอีกใจความสำคัญที่หลายๆ ธุรกิจอาจมองข้าม เพราะส่วนมากมักจะใช้วิธีการดึงลูกค้าเข้ามาจากช่องทางอื่นๆ เช่นจาก Facebook, Instagram, Twitter รวมถึงเว็บไซต์แล้วค่อยมาปิดการขายใน LINE OA ซึ่งไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลก แต่หากคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้าล่ะก็ การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมก็จะช่วยส่งผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นได้ 

1. เลือกใช้ฟังก์ชันที่จำเป็น แต่ตรวจสอบให้มั่นใจ

นอกจากการใช้วิธีดึงลูกค้าอาจจะเป็นจากการยิง Ads LINE หรือโน้มน้าวจากช่องทางอื่นๆ ด้วยความที่แอปฯ มีเครื่องมือให้ใช้มากมาย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างมากหากคุณสามารถใช้ทุกๆ เครื่องมือนั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่สำหรับเทคนิค LINE Marketing นี้เราอยากจะแนะนำว่า อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ครบทุกเครื่องมือที่แพลตฟอร์มให้มาก็ได้ เลือกเฉพาะที่คุณได้ใช้งานจริงๆ และที่สำคัญต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่น

Rich Menu

เครื่องมือที่ทรงพลังและมีประโยชน์มากแต่สิ่งที่พบเจอบ่อยคือ “ไม่ค่อยอัปเดต” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนที่เป็น Promotion ซึ่งจุดนนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเลยก็ว่าได้เพราะตัว Rich Menu จะเป็นส่วนแรกที่ลูกค้าเห็นได้ชัดเจนเมื่อเข้ามาที่หน้าแชทของทางร้าน ดังนั้นหากคุณไม่มีเวลาหรือทีมงานคอยดูแลอัปเดตข้อมูลส่วนนี้อย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าให้ใส่เฉพาะข้อมูลที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เช่น รายละเอียดสินค้า บริการ ราคาสินค้า (ไม่รวมโปรฯ) วิธีการสั่งซื้อ ช่องทางการชำระเงิน ฯลฯ หรือถ้าหากคุณมีช่องทางอื่นๆ อย่างเว็บไซต์ที่ข้อมูลจะทันสมัยกว่า ก็สามารถลิงก์ไปยังส่วนนั้นได้เผื่อไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยไม่สอบถาม (ลูกค้ากลุ่มนี้มีโอกาสที่จะซื้อสูง)

Card Message

เครื่องมือสุดคุ้มที่ทำให้คุณสามารถส่งข้อมูลครั้งละหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในความสามารถของส่วนนี้คือ “ใส่ลิงก์ได้” ตรงนี้นี่ล่ะ ที่คุณควรจะตรวจสอบให้มั่นใจก่อนส่งออกไป เพราะหลายๆ ครั้งมักเกิดกรณีที่รูปสินค้าไม่ตรงกับลิงก์ปลายทาง ซึ่งนั่นหมายถึงประสบการณ์ที่ไม่ดีสำหรับลูกค้า

Reward Card & Coupon

ฟังก์ชันที่มีประโยชน์อย่างมากและเชื่อว่าหลายๆ ธุรกิจก็ใช้กันอยู่แล้ว แต่หากคุณเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ลงไปอีกนิดเช่น จัดโปรฯ สะสมแต้มให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน (Real Time Promotion) อาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ใช้แต้มน้อยๆ เพื่อแลกรับส่วนลดหรือของสมนาคุณบางอย่าง ก็จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้

2. ใช้ความต่อเนื่องซื้อใจ

สำหรับธุรกิจไหนที่มีแอดมินช่วยตอบข้อความหลายคน วิธีนี้ถือว่าสำคัญมากๆ คุณอาจจะต้องวางระบบการทำงานว่า “ก่อนจะตอบแชทใดๆ ให้ย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่คนก่อนหน้าคุยกับลูกค้าไว้ก่อน” เรื่องนี้อาจจะดูเล็กน้อยมากๆ แต่ถ้าคุณทำเสมือนว่าจำสิ่งที่ได้พูดคุยกับเขาไว้ก่อนได้ เช่นลูกค้าอาจจะทักมาคุย สนใจสินค้าเมื่อสองเดือนที่แล้ว พอวันน้ีเขาทักคุณกลับมาแล้วคุณตอบกลับไปและยังจำสินค้าที่ลูกค้าสนใจได้ แค่นั้นก็ซื้อใจลูกค้าคนนั้นได้แล้วและแน่นอนว่าจะเปิดโอกาสให้คุณขายของได้ในที่สุด

3. ช่วงเทศกาลลดราคา = นาทีทอง!

เรื่องพื้นฐานการทำ LINE Marketing ที่หลายๆ คนน่าจะทราบกันอยู่แล้วคือ ธุรกิจหรือแบรนด์ต่างๆ ไม่ควรบรอดแคสต์ข้อความบ่อยหรือถี่จนเกินไปเพราะอาจจะไปสร้างความรำคาญจนเป็นที่มาให้ลูกค้าบล็อก LINE ของคุณได้ แต่เท่าไรมากหรือเท่าไรน้อยเกินไปอันนี้ขึ้นอยู่กับธุรกิจที่ทำและกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้นๆ ด้วย แต่ที่แน่ๆ 2-3 ครั้งต่อวันขึ้นไปนี่ก็ถือว่ามากสุดๆ แล้ว

 

ดังนั้นช่วงเทศกาลลดราคาอย่าง Black Friday, วันเลขซ้ำต่างๆ อาทิ 11.11 จึงเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะอัดโปรโมชั่นจัดเต็มแล้วส่งบรอดแคสต์ไปยังลูกค้า เพราะคนส่วนใหญ่มักจะกันเงินไว้สำหรับเทศกาลลดราคาเหล่านี้และสิ่งที่พวกเขาอยากรู้มากที่สุดคือ “มีอะไรลดราคาแรงๆ บ้าง” อย่างไรก็ตามถึงจะเป็นช่วงที่ดีในการส่งโปรฯ ก็ไม่ควรทำถี่จนเกินไป ถ้ามีโปรฯ เยอะมากจริงๆ แนะนำให้ใช้ Card Message ส่งพร้อมๆ กัน หรืออาจจะทยอยส่งรายละเอียดโปรฯ ล่วงหน้าสัก 2-3 วัน เพื่อเป็นการบอกให้ลูกค้าเตรียมตัวก่อนและเป็นการเกลี่ยจำนวนคอนเทนต์ในการบรอดแคสต์ ก็ถือเป็นทางเลือกที่แนะนำ

4. รายละเอียดครบ จบในภาพ

แม้จะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับแชทพูดคุย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะชอบอ่านตัวหนังสือยืดยาว ถ้าสามารถทำได้คุณควรใส่รายละเอียดข้อมูลที่สั้นกระชับแต่ครบถ้วนวไปบนรูปภาพแล้วใส่ลิงก์เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมกดเข้าไปอ่านเอง วิธีนี้จะไม่ได้เป็นการยัดเยียดคอนเทนต์ให้กับคนที่ยังไม่ได้สนใจ ณ เวลานั้นอ่านมากเกินไปแต่แน่นอนหากคุณสามารถใส่รายละเอียดได้สั้นกระชับและน่าสนใจ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่ลูกค้าจะกดเข้าไปดูข้อมูลนั้นๆ เพิ่มเติม

5. โฆษณาก็อย่าทิ้ง

ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการตลาดไหนการทำวิธีใดวิธีหนึ่งก็ดูจะปิดโอกาสตัวเองเกินไป LINE Marketing ก็เช่นกันนอกจากเครื่องมือมากมายที่ให้คุณได้ใช้ นอกจากการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การยิง Ads LINE เราก็ไม่อยากให้คุณมองข้าม ยิ่งเดี๋ยวนี้สามารถทำโฆษณาด้วยตัวเองได้แล้วผ่าน LINE Ads Platform หรือถ้าใครไม่ถนัดก็มีบริษัทรับทำไลน์แอดบริการอยู่ไม่น้อย เหตุผลที่เราแนะนำให้คุณยิง Ads LINE ควบคู่ไปด้วยนั้นเพราะนั่นจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะทำให้คุณได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่อยู่นอกเหนือจากโซเชียลมีเดียหลักที่คุณใช้

หากคุณขายของออนไลน์หรือทำธุรกิจที่ใช้ไลน์ในการสื่อสารกับลูกค้า เทคนิคการทำ LINE Marketing เหล่านี้ ก็น่าจะพอเป็นแนวทางให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับการขายของเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในช่องทางขายออนไลน์ให้ตอบโจทย์กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น