Retargeting คืออะไร? เทคนิคกระตุ้นยอดขายผ่านการฉาย Ads ซ้ำ

เคยไหม?

  • เล็งรองเท้าใหม่ไว้ แต่ยังตัดสินใจไม่ซื้อ สุดท้ายโฆษณารองเท้านั้นก็โผล่มาทักทายทุกที่
  • มองหาเสื้อผ้าสวย ๆ บนเว็บไซต์ แต่พอปิดหน้าต่างไป ดันเจอโฆษณาเสื้อตัวนั้นตามหลอกหลอนบนทุกเว็บฯ ที่เข้า

สิ่งเหล่านี้คือพลังของ “Retargeting” หรือเทคนิคการยิงโฆษณาสุดล้ำ ที่นอกจากจะเป็นกลยุทธ์ “ตามติด” ลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณ กลยุทธ์นี้ยังเปรียบเสมือนพนักงานขายขี้ตื้อ ที่จะคอยกระตุ้นเตือนให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าด้วย!

Retargeting คืออะไร? แล้วเราจะใช้ประโยชน์จากเทคนิคนี้ต่อยอดการตลาดให้ได้ผลลัพธ์ความสำเร็จอย่างไรได้บ้าง เรารวบรวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ Retargeting มาไว้ในบทความนี้แล้ว!

Table of Contents

Retargeting คืออะไร?

Retargeting หรือ การยิงโฆษณาแบบ Personalized เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่การยิงโฆษณา “ติดตาม” “กระตุ้นเตือน” และ “ตื๊อ” กลุ่มเป้าหมายที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการของแบรนด์ เพื่อให้พวกเขาอยากกลับมาซื้อสินค้าอีก และตัดสินใจซื้อในที่สุด หรือจะให้เปรียบเทียบง่าย ๆ Retargeting เปรียบเสมือนการสร้าง “พนักงานขายออนไลน์ส่วนตัว” ที่จะคอยนำเสนอโฆษณาที่ตรงใจ เพื่อย้ำเตือนและกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าของแบรนด์

Retargeting เทคนิคยิงโฆษณาตื๊อลูกค้า ที่เพิ่มยอดขายได้จริง!

เปรียบเทียบ Retargeting กับ Remarketing ต่างกันอย่างไร?

Retargeting และ Remarketing เป็นเทคนิคการยิงโฆษณาออนไลน์ทั้งคู่ ทว่าหลักการทำงานมีความแตกต่างกันอยู่

  • Retargeting: เป็นเทคนิคดึงดูดผู้ใช้ที่เคยแสดงความสนใจ ให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้ง ด้วยวิธีการส่งโฆษณาไปย้ำเตือน

ตัวอย่างเช่น: ผู้ใช้เข้ามาดูรองเท้าในเว็บไซต์ แต่ยังไม่ซื้อ โฆษณารองเท้าของเราก็จะไปปรากฏซ้ำบน Facebook, YouTube และเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ผู้ใช้เข้าชม

  • Remarketing: เป็นเทคนิคกระตุ้นการตัดสินใจซื้อจากกลุ่มเป้าหมายที่มีข้อมูลติดต่อ โดยจะเป็นการได้ข้อมูลผู้ติดต่อมาก่อน แล้วค่อยทำโฆษณาทีหลัง

ตัวอย่างเช่น: ผู้ใช้สมัครสมาชิกจดหมายข่าว แบรนด์จะใช้ข้อมูลอีเมลที่มีอยู่ ส่งโฆษณาไปกระตุ้นให้ซื้อสินค้าหรือบริการ

 

                                             รายละเอียดความแตกต่าง อาจแบ่งเป็นตารางได้ คือ

หัวข้อ

Retargeting

Remarketing

ความหมาย

ยิงโฆษณาตาม “พฤติกรรม” บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ยิงโฆษณาตาม “รายชื่อผู้ติดต่อ”

กลุ่มเป้าหมาย

กว้างกว่า เน้นผู้ใช้ที่ “เคย” แสดงความสนใจ

เฉพาะเจาะจง เน้นผู้ใช้ที่มีข้อมูลติดต่อ

รูปแบบโฆษณา

เน้นโฆษณาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง

เน้นโฆษณาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

เครื่องมือ

Pixel Tag, Tracking Code

Email Marketing Platform, CRM System

อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ > คลิก

 

ประเภทและรูปแบบของ Retargeting

เทคนิค Retargeting มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย กลยุทธ์ และงบประมาณ

1. Website Retargeting

Website Retargeting คือการติดตามผู้ใช้ที่เคยแสดงความสนใจสินค้าบนเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยใช้ Pixel Tag ดักจับพฤติกรรมและนำเสนอโฆษณาที่ตรงใจ กระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้า

2. Search Retargeting

Search Retargeting จะเป็นการแสดงโฆษณาบน Search Engine (เช่น Google) เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง เหมาะสำหรับขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะเจาะจง

3. Dynamic Retargeting

Dynamic Retargeting เป็นเทคนิคการปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยโฆษณาจะถูกปรับแต่งให้แสดงสินค้าที่พวกเขาเคยดู สินค้าที่เกี่ยวข้อง สินค้าแนะนำ และอื่น ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ กระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาซื้อสินค้า เหมาะสำหรับเพิ่ม Conversion Rate และ Engagement

4. Video Retargeting

Video Retargeting เป็นเทคนิคแสดงโฆษณาแบบวิดีโอให้แก่ผู้เคยดูวิดีโอ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมสนใจในเนื้อหาประเภทวิดีโอ เหมาะสำหรับสร้าง Brand Awareness และ Storytelling

5. Social Media Retargeting

Social Media Retargeting เป็นเทคนิคแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram ที่เหมาะสำหรับเพิ่ม Engagement ให้กับแบรนด์

 

ประโยชน์หรือข้อดีของเทคนิค Retargeting

Retargeting มีข้อดีมากมายสำหรับนักการตลาดดังนี้

  • เพิ่ม Conversion Rate

การใช้เทคนิค Retargeting จะช่วยดึงดูดผู้ใช้ที่เคยแสดงความสนใจ และกระตุ้นการตัดสินใจให้กลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีก จึงเป็นการช่วยเพิ่ม Conversion Rate และโอกาสในการขายให้สูงขึ้น

  • เพิ่ม Brand Awareness

การยิงโฆษณาซ้ำ ๆ แบบ Retargeting ช่วยเพิ่มการรับรู้สินค้าหรือบริการ และสร้างความคุ้นเคย จนทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและจดจำในมุมของลูกค้า

  • เพิ่ม ROI (Return on Investment)

การทำ Retargeting ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ “ใช่” โดยไม่จำเป็นต้องหว่านเงินทำโฆษณา ทำให้สามารถใช้งบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลตอบแทนจากลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

Retargeting เป็นการแสดงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยแสดงความสนใจสินค้าโดยเฉพาะ ดังนั้น จึงทำให้สามารถปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความต้องการ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

 

หลักการทำงานของ Retargeting 

หลักการทำงานของ Retargeting มี 4 ขั้นตอนการดำเนินการหลัก ๆ ดังนี้

1. การติดตั้ง Pixel Tag

ขั้นตอนแรกของการทำ Retargeting คือการติดตั้ง Pixel Tag หรือ Tracking Code (โค้ด Javascript) ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยโค้ดนี้จะเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ เช่น หน้าเว็บฯ ที่เข้าชม สินค้าที่ดู หรือสินค้าที่ใส่ตะกร้า ฯลฯ และส่งข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Google Ads, Facebook Ads, หรือ LinkedIn Ads 

2. การสร้าง Audience List

ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้จะถูกนำมาสร้าง “กลุ่มเป้าหมาย” หรือ “Audience List” เช่น ผู้ใช้ที่เคยดูสินค้า, ผู้ใช้ที่เคยใส่สินค้าในตะกร้า หรือผู้ใช้ที่เคยซื้อสินค้า ฯลฯ

3. การแสดงโฆษณา

เมื่อสร้าง Audience List เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือการนำส่งโฆษณาไปยังกลุ่ม Audience List เหล่านี้ โดยระบบจะแสดงโฆษณา Retargeting บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่ผู้ใช้เข้าชม ซึ่งอาจแสดงได้หลายรูปแบบ เช่น

  • โฆษณาแบบ Static: แสดงรูปภาพและข้อความโฆษณาแบบคงที่
  • โฆษณาแบบ Dynamic: ปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล แสดงสินค้าที่ผู้ใช้เคยดูหรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง
  • โฆษณาแบบ Video: แสดงโฆษณาแบบวิดีโอเพื่อดึงดูดความสนใจ
  • โฆษณาแบบ Carousel: แสดงโฆษณาหลายภาพสไลด์ไปมา

4. กำหนดเวลาแสดงโฆษณา

ทั้งนี้ ก่อนจะส่งโฆษณาไปยังผู้ใช้ เรายังสามารถกำหนดเวลาการโฆษณา เพื่อให้เหมาะกับพฤติกรรมและกระตุ้นความสนใจผู้ใช้ได้มากที่สุด เช่น

  • แสดงโฆษณาหลังจากผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ 1 วัน
  • แสดงโฆษณาเฉพาะช่วงเวลา เช่น เช้า, กลางวัน, เย็น
  • แสดงโฆษณาเฉพาะวันในสัปดาห์ เช่น วันจันทร์-ศุกร์ 

เทคนิคการทำ Retargeting ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

Retargeting เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ผ่านการแสดงโฆษณาซ้ำ ๆ ในช่องทางต่าง ๆ ที่ลูกค้าเข้าใช้ อย่างไรก็ดี การทำ Retargeting มากเกินไป ก็ไม่ใช่สิ่งดี เพราะนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดการซื้อ บางครั้งลูกค้าอาจรำคาญ และมีภาพจำไม่ดีกับแบรนด์

ดังนั้น มาดูเทคนิคการทำ Retargeting ไม่ให้ลูกค้ารำคาญกัน

1. กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรม เช่น ผู้ใช้เคยดูสินค้า, ผู้ใช้เคยใส่สินค้าในตะกร้า ฯลฯ จากนั้นปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม โดยนอกจากจะช่วยให้แสดงโฆษณาได้ตรงวัตถุประสงค์แล้ว ลูกค้าจะไม่รำคาญหากโฆษณาที่แสดงนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาสนใจ

2. ออกแบบโฆษณาให้ดึงดูดใจ

โฆษณาที่น่าสนใจ จะช่วยดึงดูดลูกค้าและลดโอกาสที่ลูกค้าจะรำคาญจากการ Retargeting ได้ ควรใช้รูปภาพและวิดีโอที่มีความคมชัด สวยงาม หลีกเลี่ยงที่มีเนื้อหาล่อแหลม รุนแรง หรือไม่เหมาะสม เขียนข้อความโฆษณาให้กระชับ ตรงประเด็น เข้าใจง่าย เลือกรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการ และไม่ลืมที่จะทดสอบรูปแบบโฆษณาต่าง ๆ เพื่อดูว่ารูปแบบไหนมีประสิทธิภาพ

3. กำหนดความถี่ในการแสดงโฆษณา

ไม่ควรแสดงโฆษณาบ่อยจนเกินไปและควรเว้นระยะเวลาให้เหมาะสม โดยอาจแสดงโฆษณา 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ แสดงโฆษณาเฉพาะช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อ ฯลฯ นอกจากนี้ควรปรับความถี่ตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น แสดงโฆษณาบ่อยขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะซื้อ และแสดงโฆษณาน้อยลงสำหรับผู้ใช้ที่ไม่สนใจ

4. วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับแต่งแคมเปญ

ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ เพื่อวิเคราะห์ว่าโฆษณาแบบไหนมีประสิทธิภาพ และอะไรคือจุดอ่อน เพื่อที่จะสามารถปรับแต่งแคมเปญให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้

 

ตัวอย่างการใช้ Retargeting ที่ประสบความสำเร็จ

1.   Nike

  • ใช้ Retargeting แสดงโฆษณารองเท้าวิ่งให้แก่ผู้ใช้ที่เคยดูรองเท้าวิ่งบนเว็บไซต์ของ Nike
  • แสดงโฆษณาที่แตกต่างกันตามพฤติกรรมของผู้ใช้
    • ผู้ใช้เคยดูรองเท้าวิ่ง แต่ไม่ได้ซื้อ: แสดงโฆษณารองเท้าวิ่งพร้อมข้อเสนอส่วนลด
    • ผู้ใช้เคยคลิกใส่รองเท้าวิ่งในตะกร้า: แสดงโฆษณารองเท้าวิ่งพร้อมข้อความ “อย่าลืมซื้อรองเท้าวิ่งของคุณ!”
  • ผลลัพธ์: Nike เพิ่ม Conversion Rate ได้ 20%

2. Airbnb

  • ใช้ Retargeting แสดงโฆษณาที่พักให้แก่ผู้ใช้ที่เคยค้นหาบน Airbnb
  • แสดงโฆษณาที่พักที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
    • ผู้ใช้เคยค้นหาที่พักในภูเก็ต: แสดงโฆษณาที่พักในภูเก็ต
    • ผู้ใช้เคยค้นหาที่พักราคาประหยัด: แสดงโฆษณาที่พักราคาประหยัด
  • ผลลัพธ์: Airbnb เพิ่ม Booking Rate ได้ 15%

 

เครื่องมือในการทำ Retargeting สำหรับนักการตลาด

ตอนนี้มีเครื่องมือ Retargeting ออกมามากมายในตลาด ซึ่งแต่ละเครื่องมือก็มีจุดเด่นต่างกันออกไป เช่น 

  1. Google Ads: รองรับการแสดงโฆษณาบน Google Search Network, Google Display Network และ YouTube
  2. Facebook Ads: รองรับการแสดงโฆษณาบน Facebook, Instagram และ Audience Network
  3. LinkedIn Ads: เหมาะสำหรับการทำ B2B Marketing รองรับการแสดงโฆษณาบน LinkedIn
  4. Criteo: ใช้เทคโนโลยี AI ในการแสดงโฆษณา รองรับการแสดงโฆษณาบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ 

เทรนด์ล่าสุดของ Retargeting

แม้ Retargeting จะเป็นเทคนิคที่นักยิงโฆษณาใช้กันมานาน ทว่าในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เทคนิคนี้ก็มีเทรนด์ใหม่ ๆ ที่แสดงให้เห็นการพัฒนาที่ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเทรนด์ล่าสุดที่ควรรู้จักมีดังนี้

1. เทคโนโลยี AI

เทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้ในการ Retargeting เพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น

2. การเกิดขึ้นของ Dynamic Creative Optimisation

Dynamic Creative Optimisation (DCO) ช่วยให้แสดงโฆษณาที่แตกต่างกัน  ตามพฤติกรรม ความสนใจ และอุปกรณ์ของผู้ใช้

3. เทรนด์ Personalization ที่กำลังมาแรง

โฆษณาจะปรับเปลี่ยนตามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

4. การใช้ Retargeting บน Native Advertising

Native Advertising ช่วยให้แสดงโฆษณาที่กลมกลืนกับเนื้อหา โดยโฆษณาจะดูเหมือนเนื้อหาปกติ ไม่ใช่โฆษณา

5. การใช้ Retargeting บน Audio Advertising

Audio Advertising ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ฟังเพลงหรือ Podcast

Retargeting คือเทคนิคการยิงโฆษณาสุดล้ำ ที่นอกจากจะ “ตามติด” ลูกค้า ยังคอยกระตุ้นเตือนให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าด้วย!


สรุป

Retargeting คือเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและกำลังได้รับความนิยมมากที่สุดวิธีหนึ่ง อย่างไรก็ดี หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ไม่รู้จะเริ่มต้นใช้เทคนิคนี้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ สามารถปรึกษา Primal Digital Agency ของเราได้ เราคือเอเจนซีรับยิงแอดที่มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Media โดยตรง รับรองว่าคุณจะได้แผนกลยุทธ์ที่เหมาะกับธุรกิจ และมอบผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากเราแน่นอน