อยากขายดีทำยังไง? บอกต่อ 10 เทคนิคขายของบน Facebook ให้ปัง

ปัจจุบัน โลกแห่งการค้าขายได้เปลี่ยนไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโควิด-19 ที่ทุกคนไม่สามารถออกจากบ้านไปชอปปิงได้เหมือนอย่างเคย กระแสชอปปิงออนไลน์จึงเป็นที่นิยมและยิ่งมาแรงขึ้นทุกวัน ด้วยลักษณะการซื้อ-ขายที่สะดวก ไม่ต้องเดินทางไปไหน เพียงแค่มีมือถือก็สามารถซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการได้ ดังนั้น หลายธุรกิจจึงเริ่มปรับตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นเพื่อความอยู่รอด และหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดฮิตตลอดกาลสำหรับการขายของออนไลน์ก็คือ “Facebook” นั่นเอง

ถึงกระนั้น การขายของบน Facebook ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ แบบที่แค่โพสต์ก็ขายได้แล้ว แต่ยังต้องมีเทคนิควิธีการโพสต์ การโปรโมตให้ถูกต้อง เพราะในยุคสมัยที่ธุรกิจจำนวนมากผันตัวเข้าสู่ตลาดออนไลน์ นั่นก็หมายความว่าเราจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ามีตัวเลือกไม่น้อยเลย นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องสร้างความโดดเด่นให้แก่แบรนด์ของตัวเองเพื่อสร้างความดึงดูดใจแก่กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด โดยบทความนี้ จะมาบอก 10 วิธีโพสต์ขายของบน Facebook Marketplace แบบสุดปังให้ทุกคนได้นำไปใช้กัน!

เทคนิคขายของบนเฟซบุ๊ก

1. เลือกเวลาโพสต์ให้เหมาะสม

สิ่งสำคัญประการแรก คือการคำนึงถึงช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มจะเลื่อนดูฟีดบน Facebook เช่น หากเป็นวันธรรมดา คนส่วนมากก็จะใช้เวลาไปกับการทำงาน และอาจไม่มีเวลาว่างที่จะมาเล่นโซเชียลมีเดียมากนัก ช่วงเวลาการโพสต์ที่เหมาะสมสำหรับวันธรรมดาจึงสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 06.00-08.00 น. อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังเดินทาง โดยสำหรับคนที่เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถเมล์ หรือแท็กซี ก็อาจใช้เวลานี้ไปกับการเล่นอินเทอร์เน็ต ต่อมาคือช่วงพักกลางวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-13.00 น. และช่วงหลังเลิกงานเป็นต้นไป คือ 19.00-21.00 น.

แต่ถ้าหากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดอื่น ๆ คนส่วนมากจะใช้เวลาไปกับการพักผ่อน จึงสามารถใช้มือถือและอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโพสต์คือช่วงเวลาใดก็ได้ที่ไม่เช้าจนเกินไป เช่น ประมาณ 10.00-22.00 น.

อย่างไรก็ตาม การขายของออนไลน์ยังมี “ช่วงเวลาที่ไม่ควรโพสต์” อีกด้วย โดยหลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเราไม่ควรโพสต์ขายของดึกจนเกินไป เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนเข้านอนกันแล้ว แต่หากกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีแนวโน้มว่าจะนอนดึก เราก็สามารถเลือกโพสต์ในช่วงเวลาที่ดึกกว่า 22.00 น. ได้ นอกจากนี้ ยังควรคำนึงถึงช่วงเวลาระหว่างเดือนด้วย เช่น ช่วงปลายเดือนและช่วงต้นเดือนเป็นช่วงเงินเดือนออก ในขณะที่ช่วงกลางเดือน เป็นช่วงที่หลายคนประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นต้น

2. ระวังคำต้องห้ามที่อาจทำให้ถูกปิดการมองเห็น

ปัจจุบัน Facebook มีระบบคัดกรองเนื้อหาต่าง ๆ ที่อยู่บนหน้าฟีดมากขึ้น และทำการปิดกั้นการมองเห็นเนื้อหาที่เข้าข่ายผิดกฎของแพลตฟอร์ม เช่น การโฆษณาเกินจริง ประเด็นทางสังคมที่ละเอียดอ่อน หรือโพสต์ใด ๆ ที่ส่อถึงการหลอกลวงและเป็นภัยต่อสังคม ซึ่งระบบตรวจสอบของ Facebook นั้นสามารถจับได้ทั้งรูปภาพและตัวหนังสือ ตัวอย่างคำต้องห้ามที่อาจทำให้ถูกปิดกั้นการมองเห็น ได้แก่ โฆษณาประเภทอาหารเสริมและยาลดน้ำหนัก เช่น “ขาวไว” “ผอมไว” “เห็นผล 100%” หรือคำโปรยชวนเชื่อ “ช่องทางรวย” “รวยทางลัด” เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาอื่น ๆ ที่เหล่าร้านค้าต้องหลีกเลี่ยง โดยสามารถอ่านรายละเอียดข้อกำหนดเพิ่มเติมของ Facebook ได้ที่หัวข้อเนื้อหาต้องห้าม

3. โพสต์ภาพถ่ายสินค้าให้ดูดี

เรียกได้ว่า ภาพถ่ายสินค้าเป็นปัจจัยที่มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า เพราะช่องทางออนไลน์นั้นไม่สามารถหยิบจับเลือกดูสินค้าของจริงได้เหมือนการชอปปิงในสถานที่จริง ดังนั้น การโพสต์รูปสินค้าที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นรายละเอียดสินค้าชัดเจนและไม่เฟกจนเกินไป จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าน่าดึงดูดและเกิดความสบายใจที่จะซื้อ โดยภาพถ่ายควรมีความคมชัดสูง มีหลาย ๆ มุมเพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ทุกส่วนของสินค้า และใช้แสงธรรมชาติที่หลอกตาคนดูน้อยที่สุด เพราะการปรับสีรูปอาจจะทำให้สีของสินค้าเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทำให้โดนต่อว่าในภายหลังได้ว่าขายสินค้าไม่ตรงปก

ที่สำคัญ อย่าลืมใส่ลายน้ำลงบนรูปภาพสินค้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ด้วย เป็นการป้องกันการนำรูปไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือนำไปใช้ในกรณีของมิจฉาชีพนั่นเอง

4. ให้ข้อมูลสินค้าครบถ้วน

การจะทำให้กลุ่มเป้าหมายสนใจโพสต์ของเราได้นั้น จะต้องบอกรายละเอียดข้อมูลของสินค้าอย่างครบถ้วน เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ทันที ด้วยการบอกข้อมูลประเภทของสินค้าให้ชัดเจน ว่าสินค้าจะมีประโยชน์อย่างไรสำหรับผู้ใช้งาน รวมไปถึงขนาด น้ำหนัก สี ความกว้าง ความสูง วิธีการใช้งาน และราคาให้ครบ จบในโพสต์เดียว เพราะการขายบน Facebook คือการแข่งกับเวลา ลูกค้าอาจจะเห็นสินค้าของเราบนหน้าฟีดได้แค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ถ้าหากได้เห็นข้อมูลครบถ้วนก็ทำให้ตัดสินใจง่ายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการปกปิดราคาแล้วให้ลูกค้าเข้าไปสอบถามหลังไมค์เองนั้นอาจทำให้ลูกค้าเกิดความไม่สบายใจ รู้สึกว่ายุ่งยากและเสียเวลา ส่งผลให้ร้านค้าเสียโอกาสขายได้ในที่สุด

5. ลงขายของในกลุ่มหรือ Facebook Marketplace

ใน Facebook จะมีกลุ่มต่าง ๆ หรือ Marketplace ที่มีไว้ให้ร้านค้าโพสต์ขายของโดยเฉพาะ แบบไม่ต้องเสียค่าโฆษณา เพราะในกลุ่มหรือ Marketplace นั้น เป็นศูนย์รวมของลูกค้าจำนวนมาก แต่เมื่อเราเข้าไปในกลุ่มเหล่านั้นแล้ว ก็ต้องเช็กให้ดีด้วยว่ากฎของกลุ่มมีอะไรบ้าง เช่น สามารถโพสต์ขายสินค้าประเภทใดได้บ้าง หนึ่งร้านโพสต์ได้กี่ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นต้น และปฏิบัติตามกฎดังกล่าวอย่างเคร่งครัด 

6. ใช้คีย์เวิร์ดและแฮชแท็กในการขายของ

ก่อนจะเขียนคอนเทนต์อะไรสักอย่างหนึ่ง เราควรมีการรีเซิร์ชคีย์เวิร์ดก่อนว่าส่วนมากผู้บริโภคมักใช้คำว่าอะไรในการค้นหาสินค้าประเภทที่เราขาย หรือที่เรียกว่าการทำ SEO นั่นเอง โดยหากเราใช้คีย์เวิร์ดสำคัญในการเขียนโพสต์ขายสินค้า สิ่งที่จะได้ก็คือเพจร้านเรามีโอกาสติดหน้าแรกในการค้นหาบน Google ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ ตลอดจนใส่แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะหลาย ๆ คนก็ชอบใช้แฮชแท็กในการค้นหาสินค้าบน Search Bar เช่นกัน

7. สร้างตัวตนบนแพลตฟอร์ม

อีกหนึ่งเทคนิคขายของบน Facebook คือการทำให้ผู้ใช้งานเชื่อว่าร้านของเรามีตัวตนอยู่จริง และมีความน่าเชื่อถือในการซื้อ-ขาย โดยเราสามารถสร้างตัวตนได้ง่าย ๆ เช่น หมั่นโพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าที่เราขาย ตอบคอมเมนต์ใต้โพสต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และนำเสนอว่าสินค้านั้นดีอย่างไร ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง เป็นต้น หากเราสร้างการมีตัวตนได้ กลุ่มเป้าหมายก็จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา และเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก อันจะนำมาซึ่งโอกาสในการขายที่เพิ่มมากขึ้น

8. ขายของผ่าน Facebook Live

นับเป็นวิธีขายของออนไลน์ในเฟสให้ปังที่นิยมมากในช่วงนี้ทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นช่องทางทำการตลาดที่ฟรีแล้ว ยังไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย เพียงแค่ต้องมีความถี่ในการไลฟ์ และมีเอกลักษณ์ของร้านค้าที่สร้างการจดจำบนโลกออนไลน์ได้ เท่านี้ทุกคนก็สามารถเปิดไลฟ์สดขายของได้แล้ว

9. จัดโปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้า

การขายของออนไลน์เป็นช่องทางที่จะช่วยกระจายการรับรู้ถึงโปรโมชันของร้านได้ดีกว่าเดิม ดังนั้น การจัดโปรโมชันหรือมอบส่วนลดบ้างตามความเหมาะสม จะทำให้ลูกค้าเข้ามาสนใจสินค้าของร้านมากขึ้น และเพิ่มโอกาสการขายได้มากขึ้นด้วย โดยเราสามารถนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นกระแสสังคมอยู่ในขณะนั้นมาโปรโมตหรือทำโปรโมชัน ตัวอย่างของแคมเปญที่ประสบความสำเร็จมาก เช่น กรณีการทำการตลาด “เจน-นุ่น-โบว์” ที่หลายแบรนด์พร้อมใจกันจัดแคมเปญโฆษณาล้อเลียนกระแสเพลงฮิตของวง “SUPER วาเลนไทน์” และได้กระแสตอบรับที่ล้นหลาม ถือเป็นการโปรโมตสินค้าให้แก่แบรนด์โดยที่เราไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเลยสักบาทเดียว

10. ถือคติ “โพสต์ขายให้เหมือนโพสต์ที่เราเห็นแล้วอยากซื้อ”

ก่อนจะเขียนโพสต์ขายของออนไลน์สักโพสต์หนึ่ง ให้ลองจินตนาการว่าหากเราเป็นผู้บริโภคที่เลื่อนผ่านมาเห็น เราจะสนใจโพสต์นี้หรือไม่ ถ้าหากคิดว่าน่าสนใจ ให้ลองอ่านรายละเอียดที่ตนเองเขียนดู ว่าอ่านแล้วเรารู้สึกอยากซื้อมากน้อยแค่ไหน และลองตั้งคำถามว่าเราสงสัยอะไรจากข้อมูลที่ให้มาหรือไม่ ถ้าคิดว่าเนื้อหายังไม่ครบถ้วน ก็กลับไปแก้ไขให้ครบก่อนโพสต์ การทำเช่นนี้จะส่งผลให้เรามองเห็นมุมมองจากอีกมุมหนึ่ง ดังนั้น ควรถือคติ “โพสต์ขายของให้เหมือนโพสต์ที่เราเห็นแล้วอยากซื้อ” เสมอ

 

สรุป

จบไปแล้วกับวิธีโพสต์ขายของบน Facebook ให้มียอดขายมาก ๆ จะเห็นได้ว่าการขายของออนไลน์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยาก หรือต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพื่อลงขายเสมอไป แต่ต้องรู้จักการทำให้ถูกวิธีและคำนึงถึงความเหมาะสมในหลาย ๆ ด้านเสียก่อน โดยทั้ง 10 วิธีข้างต้นนี้ ผู้ประกอบการออนไลน์สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้เลย เพราะจะช่วยให้การขายของบน Facebook น่าสนใจและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะตามมาคือ “ยอดขาย” ที่สามารถสร้างรายได้และการเติบโตให้แก่ธุรกิจเรานั่นเอง

ส่วนใครที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้คำแนะนำวิธีขายของออนไลน์ในเฟสให้ปัง ๆ ก็สามารถปรึกษาทีมงานจาก Primal ได้เลย!