Content Gap คืออะไร ตัวช่วยที่ทำให้อันดับ SEO ของคุณดีขึ้น!

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ อินเทอร์เน็ตและโลกออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของแทบทุกคน ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจลงมาแข่งขันในสนามออนไลน์กันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ประกอบการที่ทำแบรนด์ออนไลน์จึงจำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างสรรค์แคมเปญใหม่ ๆ และออกโปรโมชันเพื่อจูงใจกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อให้ธุรกิจสำเร็จตามเป้าหมายและแซงหน้าคู่แข่งไปอีกขั้น!

ทว่า กลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจอยู่เหนือคู่แข่งไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Content Gap Analysis รวมอยู่ด้วย! สำหรับกลยุทธ์นี้ถือเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักการตลาดดิจิทัลและผู้ที่สนใจทำ SEO สามารถนำไปปรับใช้ได้ เพราะนอกจากจะทำให้เห็นช่องโหว่ในการทำการตลาดออนไลน์ในมิติต่าง ๆ แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจสามารถวางแผนเพื่อเอาชนะคู่แข่งได้อย่างแม่นยำมากขึ้นด้วย 

Content Gap Analysis จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจออนไลน์และการทำ SEO ได้อย่างไร รวมถึงผู้ประกอบการจะนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ได้อย่างไรบ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรารวบรวมทุกเรื่องที่คุณควรรู้มาไว้ในบทความนี้แล้ว!

 

Content Gap Analysis คืออะไร?

Content Gap หรือหลายคนรู้จักกันในชื่อ Content Gap Analysis คือ กลยุทธ์หาช่องโหว่ในการทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบแบรนด์ของเรากับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันว่ามีลักษณะของหัวข้อบล็อก คอนเทนต์ หรือคีย์เวิร์ดใดบ้างที่คู่แข่งหรือเพื่อนร่วมธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันเขาทำแล้วแต่เรายังไม่ได้ทำ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นการวิเคราะห์และตรวจสอบคอนเทนต์ของบริษัทเรากับคู่แข่งว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร มีช่องโหว่ใดที่ธุรกิจของเรายังไม่ได้ทำบ้าง จะได้เติมเต็มเนื้อหาในส่วนนั้น ๆ ให้ครบสมบูรณ์ ส่งผลให้คอนเทนต์หรือแผนการตลาดของเราโดดเด่นและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่าคู่แข่ง

ที่สำคัญ! การทำ Content Gap Analysis ยังถือเป็นกลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งของการทำ SEO เพราะนอกจากจะทำให้เว็บไซต์ของเราตอบโจทย์ทุกการค้นหาให้กับลูกค้าที่สนใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแล้ว ท้ายที่สุดยังจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บฯ ติดอันดับการค้นหาในหน้า Search Engine อย่าง Google ได้ดีขึ้นอีกด้วย

Content Gap คือ


Content Gap
ดีอย่างไรต่อการทำ SEO?

อย่างที่กล่าวไปว่า Content Gap คือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น! เพราะสิ่งนี้คือกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์รู้เท่าทันคู่แข่งในตลาดเดียวกัน รวมถึงรู้ว่าพวกเขาวางแผนธุรกิจไปในทิศทางใด และ SEO ของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง โดยข้อดีหลัก ๆ ของกลยุทธ์นี้ที่ส่งผลต่อการทำ SEO มีดังนี้!

1. ใช้คีย์เวิร์ดในคอนเทนต์ได้แม่นยำมากขึ้น

หลายคนคงทราบดีว่าถ้าคีย์เวิร์ดดี การทำ SEO ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ดังนั้น นอกจากนักการตลาดจะต้องทำ Keyword Research อย่างดีแล้ว เพื่อให้รู้ว่าควรใช้คีย์เวิร์ดตัวไหนในการทำ SEO บ้าง ก็ต้องไม่ลืมที่จะทำ Content Gap Analysis เพื่อเทียบคีย์เวิร์ดของคู่แข่งด้วย จะได้นำมาปรับใช้กับการทำคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถค้นหาเว็บไซต์ของเราได้มากที่สุด

2. พัฒนาเนื้อหาคอนเทนต์ได้ดีขึ้น

การทำ Content Gap Analysis ช่วยพัฒนาคอนเทนต์ SEO ของคุณให้มีคุณภาพขึ้นได้! เนื่องจากการทำ SEO เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เว็บฯ ของเราติดอันดับเหนือคู่แข่ง ซึ่งการวิเคราะห์ช่องโหว่ของ Content Gap จะช่วยให้เราเห็นว่าเมื่อเทียบกับเว็บไซต์ของคู่แข่ง เว็บไซต์หรือคอนเทนต์ของเรามีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง และควรเพิ่มหรือลดคีย์เวิร์ดใด รวมถึงความเร็วเว็บไซต์เพียงพอต่อการเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้ใช้งานได้มากขึ้นหรือไม่ เพื่อจะได้พัฒนาคอนเทนต์ให้มีคุณภาพเพียงพอในสายตา Search Engine อย่าง Google ได้มากที่สุด

3. สื่อสารได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

การทำ Content Gap Analysis ช่วยให้เราสื่อสารคอนเทนต์ได้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าเดิม! เพราะการที่เราวิเคราะห์คอนเทนต์ของคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มีลูกค้ากลุ่มเดียวกัน จะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าคู่แข่งได้สื่อสารถึงเรื่องอะไรให้กับลูกค้าไปแล้วบ้าง และอะไรที่พวกเขาทำไปแล้วและได้รับความสนใจเราจะได้นำมาปรับใช้ หรืออะไรที่ลูกค้าไม่สนใจเราจะได้ไม่ต้องทำตาม เพื่อเป็นการอุดช่องโหว่และเติมเต็มสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ได้มากที่สุด

4. ตัดคู่แข่งอุตสาหกรรมเดียวกันได้ง่ายขึ้น

การทำ Content Gap Analysis นอกจากส่งผลให้เว็บฯ ของเรามีข้อมูลทุกอย่างตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่าคู่แข่งแล้ว ยังจะทำให้ Google มองว่าเว็บฯ ของเรามีคุณภาพและพร้อมจะดันให้อยู่ในอันดับสูงขึ้นในหน้า Search Engine ด้วย ด้วยเหตุนี้เองจะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกค้าเจอเว็บฯ เราได้มากกว่าคู่แข่ง ทำให้มีโอกาสเพิ่ม Traffic และปิดยอดขายได้มากขึ้นโดยปริยาย

 

การทำ Content Gap มีวิธีใดบ้าง?

ถ้าถามถึงวิธีการหา Content Gap ว่ามีวิธีไหนบ้าง จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบคือ

1. ทำด้วยตนเอง

สำหรับการทำ Content Gap วิธีแรก คือการที่นักการตลาดลงมือวิเคราะห์ด้วยตนเองโดยไม่ใช้เครื่องมือช่วย โดยวิธีนี้จะคล้ายการทำ Market Research หรือการศึกษาตลาดก่อนทำธุรกิจ โดยนักการตลาดอาจเริ่มง่าย ๆ ด้วยการทำตัวเหมือนเป็นลูกค้า เข้าไปใช้งานจริงในเว็บไซต์ของคู่แข่งเพื่อดูว่าคู่แข่งของเรานั้นมีโครงสร้างเว็บไซต์อย่างไร เว็บไซต์ใช้งานยากง่ายแค่ไหน มีจุดเด่นจุดด้อยตรงไหนบ้าง แล้วลองวิเคราะห์ดูว่ามีปัจจัยอะไรที่เป็นเหตุผลที่ช่วยให้เว็บไซต์ของพวกเขาติดหน้าแรกบน Google จนอยู่เหนือเว็บฯ ของเรา เช่น

  • เนื้อหาในเว็บไซต์ครบถ้วนสมบูรณ์ตอบโจทย์ความสนใจ
  • เมนูการเข้าถึงหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ง่ายต่อการใช้งาน
  • เว็บไซต์เสถียรดาวน์โหลดเร็ว
  • การวางเลย์เอาท์สวยงามทั้งรูปแบบการเข้าดูผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ

ฯลฯ

ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมดูว่าคอนเทนต์ที่คู่แข่งทำส่วนใหญ่เป็นประเภทไหน ภาษาและสไตล์เป็นอย่างไร เพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียและปรับใช้กับเว็บไซต์ของเราให้มีประสิทธิภาพดีกว่า

2. ใช้เครื่องมือช่วย

สำหรับใครที่ไม่อยากวิเคราะห์คู่แข่งด้วยตนเอง ก็สามารถใช้เครื่องมือ Content Gap Analysis วิเคราะห์แทนได้ โดยตอนนี้ได้มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์การทำ SEO ของคู่แข่งออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Ahrefs, Semrush และ Google Keyword Planner โดยการใช้เครื่องมือเหล่านี้ จะสามารถช่วยให้นักการตลาดวิเคราะห์คอนเทนต์ของคู่แข่งได้แบบเชิงลึก ทั้งยังช่วยมอบข้อมูล Insight บางอย่างที่อาจไม่สามารถเห็นได้จากการเข้าไปดูเอง ส่งผลให้นักการตลาดมีข้อมูลของคู่แข่งอย่างครบถ้วน จนนำมาปรับใช้และพัฒนาคอนเทนต์ของตนเองให้โดดเด่นขึ้นได้

 

Content Gap Analysis ตัวอย่างเครื่องมือมีอะไรน่าสนใจบ้าง?

สำหรับนักทำ SEO ที่ต้องการใช้เครื่องมือช่วยทำ Content Gap Analysis ตัวอย่างเครื่องมือที่เราขอแนะนำจะมีอยู่ 3 ตัวหลัก ๆ คือ 

1. Ahrefs

Ahrefs ถือเป็นเครื่องมือทำ Content Gap Analysis ที่คนทำ SEO นิยมใช้กันมากที่สุดตัวหนึ่ง โดยเครื่องมือชนิดนี้ มีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Content Gap โดยเฉพาะ ซึ่งความน่าสนใจก็คือเราสามารถใส่ URL ของเว็บฯ คู่แข่งทั้งหมดลงไปได้ และฟีเจอร์ Content Gap จะทำการวิเคราะห์ให้เห็นว่า มีคำหรือคีย์เวิร์ดใดบ้างที่คู่แข่งติดหน้าแรกบน Google เพื่อที่เราจะได้นำคำเหล่านั้นมาทำคอนเทนต์เพื่อดันให้อันดับ (Ranking) เขยิบขึ้นสู่หน้าแรกหรือมีโอกาสที่จะสามารถแซงหน้าคู่แข่งได้ 

2. Semrush

Semrush คือเครื่องมือทำ SEO แบบ All-in-one ที่มีฟีเจอร์ในการทำ Content Gap Analysis เช่นกัน โดยฟีเจอร์จะมีชื่อว่า Competitive Research ที่ช่วยให้นักทำ SEO สามารถวิเคราะห์ข้อมูลของคู่แข่งในเชิงลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น Insight คอนเทนต์ของคู่แข่ง ภาพรวม SEO รวมถึงแคมเปญ PPC ทำให้สามารถนำไปพัฒนาคอนเทนต์ รวมถึงนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของเราให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้

3. Google Keyword Planner

Google Keyword Planner คือเครื่องมือทำ Content Gap Analysis ที่ดีอีกชิ้นหนึ่ง โดยเครื่องมือตัวนี้จะเน้นไปที่การทำ Keyword Research ซึ่งนักทำ SEO สามารถใช้วิเคราะห์คีย์เวิร์ดกับการนำไปเทียบกับของคู่แข่งได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ว่า คีย์เวิร์ดนั้นมีจำนวนการค้นหามากน้อยเท่าไรในแต่ละเดือน ต้นทุนค่าคลิกเฉลี่ยมีเท่าไร มีคีย์เวิร์ดใดที่น่าสนใจแต่เรายังไม่ได้ใช้ หรือแม้แต่ช่วยให้เห็นภาพรวมของคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ ทำให้ง่ายต่อการนำมาปรับปรุงคอนเทนต์ SEO ของเราให้ดีมากยิ่งขึ้น

gap analysis ตัวอย่าง


สรุป

จะเห็นได้เลยว่าการทำ Content Gap Analysis เป็นกลยุทธ์สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้การทำคอนเทนต์ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย พร้อมกันนั้นยังจะช่วยให้การทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาบริการรับทำการตลาดออนไลน์ และไม่รู้ว่าควรเริ่มทำ Content Gap Analysis อย่างไร หรือไม่แน่ใจว่าควรใช้เครื่องมือประเภทไหนในการวิเคราะห์คู่แข่งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สามารถปรึกษา Primal Digital Agency ของเราได้เลย เราคือเอเจนซีการตลาดและบริษัททำ SEO ชั้นนำที่มีผู้เชี่ยวชาญพร้อมบริการทำ SEO กว่า 150 คน เรายินดีให้คำปรึกษาทั้งการวางกลยุทธ์ การใช้เครื่องมือ รวมไปถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพในสายตาของ Google 

ถ้าพร้อมแล้ว มาพิสูจน์ผลลัพธ์ด้วยการกรอกรายละเอียดเพื่อปรึกษาแผนการตลาดกับเราฟรีได้เลยตอนนี้!