Broken Link คืออะไร ถ้ามีแล้วจะเกิดผลอย่างไรต่อ SEO?

หลายคนคงเคยเจอประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์แบบที่คลิกลิงก์เข้าไปแล้วเจอกับหน้า “404 Not Found” อันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าหน้าเพจนั้น ๆ ไม่มีอยู่จริงหรือล่มไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และแน่นอนว่าผู้ใช้งานที่ต้องพบกับหน้าเพจลักษณะนี้บ่อย ๆ คงเกิดความเบื่อหน่าย และอาจส่งผลให้เกิดความรู้สึกลบต่อเว็บไซต์นั้น ๆ ไปเลย ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เว็บไซต์ของเราเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ก่อนจะหลีกเลี่ยงได้นั้น เราต้องรู้ก่อนว่าหน้าเพจที่ใช้งานไม่ได้นั้นเกิดจากอะไร

บทความนี้จึงจะมาพูดถึง “Broken Links” หรือ “Broken Backlinks” ลิงก์เสียในเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อการทำ SEO พร้อมวิธีแก้ไขให้เว็บฯ กลับมามีคุณภาพ ใช้งานลื่นไหลเหมือนเดิม!

เช็ก Broken Link ยังไง

Broken Link คืออะไร?

หงุดหงิดใช่ไหมเวลาที่เข้าเว็บไซต์แล้วเจอหน้าเพจ Error? แน่นอนว่าคนอื่น ๆ เวลาเปิดเว็บไซต์ของเรามาเจอแบบนี้ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience: UX) ที่ไม่ดี และกระทบต่ออันดับ SEO ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ของเรามี Broken Link

Broken Link คือ ไฮเปอร์ลิงก์ของเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกับหน้าเว็บเพจที่ว่างเปล่าหรือไม่มีอยู่จริง หรือที่เรียกว่า “ลิงก์เสีย” หรือ “ลิงก์ตาย” ที่เข้าใช้งานไม่ได้ โดยเมื่อคลิกเข้าไปในลิงก์ ระบบจะแสดงข้อความว่าเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งไม่ควรปล่อยให้เว็บไซต์ของเรามีลิงก์เสีย เพราะเมื่อผู้ใช้คลิกที่ลิงก์เหล่านี้แล้วจะพบว่าตนไม่ได้ถูกพาไปยังที่ที่กำหนดหรือควรจะไป อีกทั้งในบางครั้ง หน้าที่แสดงว่า Error ก็ดันมีอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่การแสดงผลที่ไม่ดี และภาพที่ดูไม่เป็นมืออาชีพในสายตาของผู้ใช้งาน ทำให้ไม่มีใครอยากกลับมาที่เว็บไซต์ของเราอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ในมุมของ Google Bot ลิงก์เสียยังสร้างความเสียหายให้เว็บไซต์ของเราไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะอัลกอริทึมจะไม่สามารถติดตามลิงก์ไปที่โดเมนดังกล่าวได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราได้ไม่ครบถ้วน จนมีผลกระทบต่อการทำ SEO ในเวลาต่อมา

สรุปแล้ว Broken Link มีข้อเสียคือ

  • เว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือและสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ใช้
  • ส่งผลต่อการทำ SEO กล่าวคือ อาจทำให้อันดับเว็บไซต์ลดลง
  • จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) ลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดขาย (Conversion Rate)
  • หน้าเว็บไซต์ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของแบรนด์ได้

ดังนั้น หากเราพบว่าเว็บไซต์ของตนมีลิงก์เสีย เราจะต้องแก้ไขทันที เพื่อคงคุณภาพของเว็บไซต์เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทั้งในสายตาของ Google Bot และคนทั่วไป

 

วิธีตรวจสอบและแก้ไขลิงก์เสีย

การจะทำเว็บไซต์สักเว็บฯ หนึ่ง ไม่ใช่แค่เพียงการสร้างให้แล้วเสร็จไปเท่านั้น แต่ยังต้องดูแล ปรับปรุง และพัฒนาให้เว็บไซต์คงคุณภาพไว้เสมอด้วย โดยหนึ่งในเครื่องมือที่จะมาช่วยดูแลเว็บไซต์ของเราก็คือ “Broken Links Checker” ปลั๊กอินที่ช่วยตรวจสอบลิงก์ทั้งหมดในเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ เพื่อแจ้งให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ทราบว่ามีลิงก์ใดบ้างที่เสีย หรือหน้าเพจใดที่ไม่มีอยู่แล้วแต่ยังมีลิงก์ที่เชื่อมไป ไม่ว่าจะ Internal Link หรือ External Link ก็ตาม โดยคุณสมบัติของ Broken Links Checker ได้แก่

  • แสดงลิงก์ทั้งหมดบนเว็บไซต์
  • แสดงลิงก์เสีย (Broken Link)
  • แสดงที่อยู่ของลิงก์
  • แจ้งเตือนเมื่อมีลิงก์เสีย

หลังจากที่ติดตั้งปลั๊กอินดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถเข้าไปตรวจสอบลิงก์เสียได้ที่เมนู Tools > Broken Links แล้วระบบจะแสดงจำนวนลิงก์ทั้งหมดพร้อมลิงก์ที่เสียมาให้ โดยเราสามารถคลิกเข้าไปเพื่อแก้ไขลิงก์ หรือดูรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับลิงก์เหล่านั้นได้เลย

เมื่อแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกที่เมนู Recheck เพื่อตรวจทานอีกรอบ หาก Status เปลี่ยนเป็นสีเขียว ก็หมายความว่าลิงก์กลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว

 

สรุป

สรุปได้ว่า Broken Link คือ ลิงก์เสียที่ทำให้คุณภาพของเว็บไซต์เราลดลง เนื่องจากเมื่อ Google Bot เข้ามาสำรวจเว็บไซต์แล้วเจอลิงก์เสียหลาย ๆ ครั้ง อัลกอริทึมก็จะจดจำว่าเว็บไซต์ดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ และย่อมมีผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ในระยะยาวอย่างแน่นอน ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำคือ หมั่นตรวจสอบอยู่เป็นประจำว่าบนเว็บไซต์ของเรามี Broken Backlinks อยู่บ้างหรือไม่ อย่าได้ชะล่าใจว่าเราได้แนบลิงก์ไว้อย่างถูกต้องแล้ว เพราะในบางครั้ง ลิงก์ต่าง ๆ ก็สามารถเสียได้โดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเว็บไซต์ใดที่มีหน้าเพจเยอะ ๆ มีบทความจำนวนมาก หรือมีแถบเมนูต่าง ๆ มากมายและซับซ้อน ก็ยิ่งมีโอกาสที่ลิงก์จะเสียได้มากขึ้น ซึ่งหากพบแล้วเราควรเข้าไปแก้ไขทันที เพื่อไม่ให้อัลกอริทึมและผู้คนที่เข้ามาท่องเว็บไซต์มองว่าแบรนด์เราไม่มีความเป็นมืออาชีพ

อย่างไรก็ตาม การที่ต้องวางแผนการตลาดเพื่อโปรโมตธุรกิจ พร้อมทั้งดูแลเว็บไซต์ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอไปด้วย อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นนี้ จะดีแค่ไหนหากคุณมีผู้เชี่ยวชาญที่คอยดูแลและช่วยวางกลยุทธ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม แล้วยังสามารถทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพมากกว่าทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หากกำลังมองหาตัวช่วยดี ๆ แบบนี้อยู่ สามารถติดต่อทีมงานมากประสบการณ์ของ Primal Digital Agency เพื่อรับคำปรึกษาเบื้องต้นได้เลย