AR กับ VR ต่างกันอย่างไร นำมาปรับใช้กับการตลาดด้านใดได้บ้าง

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าไร โลกของเรายิ่งมีวิวัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน จนปัจจุบันเรามีหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถทำงานและตอบคำถามแทนมนุษย์ได้หลายตัวแล้ว และยังมีแนวโน้มว่าจะได้รับการพัฒนาต่ออีกในอนาคต ไม่เพียงเท่านั้น เรายังมีสิ่งที่เรียกว่า “โลกเสมือนจริง” ที่เป็นโลกดิจิทัลซึ่งเลียนแบบมาจากโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริงด้วย และในโลกเสมือนจริงนี้เอง ที่มีตัวกลางอย่าง AR และ VR เข้ามาเกี่ยวข้อง

หากใครที่อยู่ในวงการคอมพิวเตอร์ หรือเป็นสายเกม ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่า AR และ VR กันมาบ้าง แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะมาชี้ให้เห็นชัด ๆ ว่าเทคโนโลยี AR กับ VR คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร และนักการตลาดจะสามารถนำเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงมาปรับใช้กับธุรกิจของตนเองให้ดูทันสมัยมากขึ้นได้อย่างไรบ้าง

ประโยชน์ของ VR

เทคโนโลยี AR กับ VR คืออะไร

AR คืออะไร

AR ย่อมาจาก Augmented Reality คือ เทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง ด้วยการนำวัตถุ 3 มิติมาจำลองให้เหมือนสิ่งต่าง ๆ ในโลกจริง ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีสิ่งนั้นอยู่จริง ๆ และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทั้งที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นเพียงของที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยีดิจิทัล ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุดคือเกม Pokémon GO ที่มีการนำเทคโนโลยี AR มาเป็นจุดขายของเกมให้ดูสมจริง เหมือนเราได้เดินตามหาไข่และเก็บตัวละครต่าง ๆ จากเรื่องโปเกมอนได้จากพื้นที่ที่เราเดินผ่านจริง ๆ และปัจจุบันก็ยังมีบางแบรนด์ที่นำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้กับธุรกิจของตนเอง ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูทันสมัยมากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ หลักการทำงานของ AR คือจะใช้เซนเซอร์ในการตรวจจับภาพ เสียง การสัมผัส หรือแม้แต่การรับกลิ่น แล้วจะสร้างวัตถุหรือภาพ 3 มิติขึ้นมาตามเงื่อนไขที่ได้รับด้วยการประมวลผลจากซอฟต์แวร์ ซึ่งเราจะสามารถมองภาพที่ AR ประมวลผลออกมาผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แสดงภาพได้ เช่น แว่นตา จอภาพ จอสมาร์ตโฟน หรือคอนแท็กต์เลนส์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ เป็นต้น

VR คืออะไร

VR ย่อมาจาก Virtual Reality คือ เทคโนโลยีที่จำลองประสบการณ์แบบเสมือนจริง เป็นการจำลองสถานที่ขึ้นมาให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ อาจเป็นได้ทั้งภาพและเสียง โดยเราสามารถมีปฏิกิริยากับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ได้ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แป้นพิมพ์ เมาส์ หรืออุปกรณ์ที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น ถุงมือ รองเท้า หรือแว่น VR ตัวอย่างเช่น การรับชมภาพยนตร์แบบ 3 มิติ ที่ให้ความรู้สึกสมจริงราวกับเราอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ เอง เครื่องเล่นวิดีโอเกม PlayStation ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในเกม ระบบโฮมทัวร์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เราสามารถสำรวจบ้านได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา หรือในยุคโควิด-19 ที่ผ่านมา ที่ยิ่งล้ำหน้าขึ้นไปอีกด้วยการจัดคอนเสิร์ตแบบเสมือนจริงหรือ Virtual Concert ก็ใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยให้ผู้ชมรู้สึกสนุกสนานและอินไปกับคอนเสิร์ตออนไลน์ด้วยเช่นกัน และนอกจากจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาแล้ว บางครั้ง VR ยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยให้สมจริงยิ่งขึ้น เช่น เครื่องจำลองการขยับของรถไฟเหาะ เครื่องสร้างการสั่นสะเทือน หรือเครื่องพ่นน้ำ เป็นต้น

 

AR กับ VR ต่างกันอย่างไร

เมื่อเข้าใจแล้วว่าเทคโนโลยี AR กับ VR คืออะไร ก็จะเห็นได้ว่าทั้งสองอย่างมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก เพราะเป็นเครื่องมือที่มอบประสบการณ์เสมือนจริงให้เราทั้งคู่ ดังนั้น ในส่วนนี้จึงจะมาบอกว่า AR กับ VR ต่างกันอย่างไร เพราะแท้จริงแล้ว สองสิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกันหรือแทนกันได้อย่างที่หลายคนคิด ! โดยสามารถสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ดังนี้

AR คือ ความจริงแบบ “แต่งเติม” ที่ผสมผสานระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกันผ่านซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ หรือก็คือเป็นการนำเอาส่วนประกอบบนโลกเสมือน เช่น ภาพ กราฟิก วิดีโอ รูปทรง 3 มิติ หรือข้อความ มาผนวกซ้อนทับกับภาพในโลกจริงที่ปรากฎอยู่หลังกล้อง

ในขณะที่ AR ผสานทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน ส่วน VR คือ ความจริงแบบ “เสมือนจริง” ที่สร้างสภาพแวดล้อมขึ้นมาใหม่แบบ 100% ตัดขาดออกจากโลกความเป็นจริงแบบชัดเจน สภาพแวดล้อมใหม่นี้สามารถเป็นได้ทั้งภาพและเสียง ซึ่งอาจดูคล้ายกับโลกความเป็นจริง หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ โดยข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือ VR จะให้ประสบการณ์เสมือนจริงมากกว่า AR เพราะถึงอย่างไร AR ก็ยังมีภาพโลกความจริงซ้อนทับอยู่ แต่ VR จะดึงดูดเราเข้าไปในโลกใบใหม่อย่างเต็มรูปแบบ

ด้วยความแตกต่างระหว่าง AR กับ VR นี้เอง ที่ทำให้การนำไปประยุกต์ใช้งานนั้นมีความแตกต่างกันตามไปด้วย ทุกวันนี้ มีหลายอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีสองตัวนี้ไปใช้เพื่อให้การทำงานง่ายและสะดวกขึ้น ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมการแพทย์ วงการบันเทิง การศึกษา และแม้แต่อุตสาหกรรมการตลาดเองก็ไม่พลาดที่จะหยิบ AR กับ VR มาใช้

ได้รู้กันแล้วว่า AR กับ VR ต่างกันอย่างไร ก็มาดูในส่วนต่อไปกันเลยว่า AR กับ VR มีประโยชน์ต่อการทำการตลาดของเราในด้านใดบ้าง

ประโยชน์ของ AR

AR กับ VR สามารถประยุกต์ใช้ในการตลาดได้อย่างไร

อย่างที่ทุกคนเข้าใจกันแล้วว่า AR กับ VR เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงให้แก่ผู้ใช้งาน ฉะนั้น คนทำธุรกิจบางส่วนจึงเล็งเห็นผลประโยชน์จากตรงนี้ แล้วนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้ให้ลูกค้าของตนเองสามารถเข้าถึงสินค้าต่าง ๆ จากโลกเสมือนได้ เนื่องจากหลังจากเกิดโรคระบาด การชอปปิงออนไลน์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน แค่ไถมือถือกดสั่งสินค้า แล้วจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ ก็สามารถรอรับสินค้าอยู่ที่บ้านได้เลย ลองคิดว่า ยิ่งถ้ามีเทคโนโลยี AR กับ VR เข้ามาช่วย จะยิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าได้มากขึ้นขนาดไหน

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ พบว่า 63% ของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาพึงพอใจระบบ AR ที่สร้างขึ้นโดยแบรนด์เครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง ที่ให้ลูกค้าสามารถลองเครื่องสำอางผ่านโลกเสมือนจริงได้เพื่อดูว่าสีไหนเข้ากับเฉดผิวของตนเองมากที่สุด ในส่วนของเทคโนโลยี VR ผู้ใช้งาน Facebook อีก 63% เท่ากัน ก็ยังบอกอีกว่าชอบที่ร้านมีระบบ VR ให้ดูสินค้าเสมือนจริงมากกว่าการที่ต้องออกไปดูสินค้าที่หน้าร้านเอง จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าที่ต้องมีการ Try-on หรือต้องลองก่อนซื้อเป็นอย่างมาก เพื่อที่พวกเขาจะได้ดูก่อนว่าจะเหมาะกับตนเองหรือไม่ ซึ่งนอกจากเครื่องสำอางที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ หรือจะเป็นธุรกิจขายบ้าน คอนโด ก็สามารถใช้เทคโนโลยี VR เข้ามาช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพได้มากขึ้นเช่นกัน หรือจะสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้แบรนด์ด้วยการนำเทคโนโลยี AR กับ VR มาสร้างสรรค์เป็นเกมให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วม วิธีนี้จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความทันสมัยให้แบรนด์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว อีกทั้งถ้าเกมที่เราสร้างขึ้นเป็นไวรัล ก็จะช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ทำให้คนเข้ามาสนใจแบรนด์ของเราเยอะขึ้นอีกด้วย

 

สรุป

ถึงแม้ว่าตอนนี้การใช้เทคโนโลยี AR กับ VR จะยังไม่ค่อยพบได้มากนักในแบรนด์ไทย แต่เราก็ต้องตระหนักไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนทั้งโลกมากขึ้นทีละนิด รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปอย่างแนบเนียนเสียแล้ว ทั้งยังไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดพัฒนาด้วย ดังนั้น เราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในตลาด จัดหาวิธีรับมือกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นและทำให้ธุรกิจของเราที่มีอยู่แต่เดิมสั่นคลอน และปรับตัวให้ทันกาลเวลาที่เดินไปข้างหน้าเสมอ ซึ่งถ้าหากเรามีความเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้ เราก็จะรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง รู้จักการประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด และสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ที่จะเข้ามากระทบกับธุรกิจอย่างแน่นอน

หากยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ด้วยตัวคนเดียว ให้เราเป็นเพื่อนคู่คิดของคุณตลอดการทำธุรกิจจนกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ ติดต่อ Primal Digital Agency บริษัทรับทำการตลาดชั้นนำของไทยได้เลยวันนี้