Search Engine คืออะไร เครื่องมือที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้

ตั้งแต่ที่โลกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ การใช้ชีวิตของเราก็สะดวกสบายขึ้นมาก เวลาอยากรู้หรืออยากซื้ออะไร แค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถเสกทุกอย่างได้ตามต้องการ และเครื่องมือที่เราใช้กันเป็นประจำเมื่ออยากจะค้นหาอะไรสักอย่างก็คงหนีไม่พ้น “Google” ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Google คือหนึ่งในโปรแกรมค้นหาที่มีชื่อเรียกกันอย่างแพร่หลายในวงการเทคโนโลยีว่า “Search Engine”

Search Engine ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากสำหรับทั้งทางฝั่งผู้ใช้งานและฝั่งเจ้าของธุรกิจ เพราะเป็นตัวกลางที่ทำให้ผู้บริโภคค้นหาในสิ่งที่ต้องการ และทำให้เจ้าของธุรกิจนำเสนอหรือขายในสิ่งที่อยากขายเช่นกัน ถ้าไม่มี Search Engine การใช้ชีวิตของเราก็คงไม่ง่ายอย่างทุกวันนี้

บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักเครื่องมือค้นหาให้มากขึ้น ว่า Search Engine คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร มีกี่ประเภท และทำไมคนทำธุรกิจออนไลน์ถึงควรรู้

โปรแกรมค้นหาข้อมูล Search Engine แบ่งออกเป็นกี่ประเภท

Search Engine คืออะไร

Search Engine คือ โปรแกรมหรือเครื่องมือที่ใช้ในการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นบล็อก รูปภาพ วิดีโอ เพลง หรือแผนที่ โดยเมื่อเราพิมพ์สิ่งที่อยากรู้ลงไป Search Engine ก็จะแสดงผลสิ่งเหล่านั้นออกมาแบบเรียงลำดับตามความนิยม กล่าวคือ ผลลัพธ์ที่อยู่ด้านบนสุดจะเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในคีย์เวิร์ดที่เราใช้ค้นหา ซึ่ง Search Engine ที่ใหญ่และถูกใช้อย่างแพร่หลายที่สุดในโลกตลอดกาล ได้แก่ Google ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 92% ทั่วโลก ด้วยหน้าตาที่เป็นมิตรและดูใช้งานง่าย ทั้งยังหมั่นพัฒนาอัลกอริทึมให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอยู่เป็นประจำ ทำให้การค้นหาข้อมูลบน Google เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจาก Google แล้ว โลกของเรายังมี Search Engine เจ้าอื่น ๆ อีก โดย Reliablesoft ได้จัดลำดับ 10 Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดไว้ดังนี้ (ข้อมูลปี 2023)

  1. Google Search Engine ที่ครองตลาดในทุกประเทศและทุกอุปกรณ์ ไม่มีใครไม่รู้จัก
  2. Microsoft Bing Search Engine จากบริษัท Microsoft คู่แข่งเบอร์ฉกาจของ Google
  3. Yahoo!ในอดีตเคยเป็นผู้ให้บริการอีเมลที่ได้รับความนิยมสูง ปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดย Microsoft แล้ว
  4. Yandex Search Engine ชื่อดังจากประเทศรัสเซีย
  5. BaiduSearch Engine ที่ได้รับความนิยมมากในประเทศจีน
  6. DuckDuckGo มีจุดเด่นเรื่อง Interface ที่ดูสะอาดตา ใช้ง่าย คล้าย Google สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ DUCKDUCKGO คืออะไร
  7. Ask.comเน้นแสดงผลลัพธ์ประเภทถาม-ตอบ มากกว่า How-To
  8. Ecosiaโปรแกรมค้นหาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางสังคม คือ การจัดหาเงินทุนในการปลูกต้นไม้และสร้างโครงการบูรณะ
  9. Aol. – Search Engine ที่มีเครือข่าย (Network) มากมายให้ผู้ใช้งานได้เลือกใช้ เช่น engadget.com หรือ huffingtonpost.com เป็นต้น
  10. Internet ArchiveSearch Engine ที่รวบรวมข้อมูลผลการค้นหาจากเว็บไซต์เก่า ๆ หรือเว็บไซต์ที่ปิดตัวไปแล้ว

จะเห็นได้ว่า เรายังมี Search Engine อีกมากมายที่อาจจะเคยได้ยินชื่อแต่ยังไม่เคยใช้ และแต่ละเครื่องมือก็มีวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันไป หากใครต้องการหาข้อมูลเป็นภาษาจีน หรือเกี่ยวกับสิ่งที่เผยแพร่ในประเทศจีนเท่านั้น ก็สามารถใช้ Baidu ได้ หรือถ้าหากใครต้องการค้นหาข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์ที่ปิดตัวไปแล้ว ก็สามารถเข้าไปที่ Internet Archive ได้ เพื่อการค้นหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ประโยชน์ของ Search Engine คืออะไร

ประโยชน์ทั่วไปของ Search Engine เราก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า เป็นเครื่องมือที่ใช้ค้นหาทุกสิ่งที่อยากรู้ ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ต้องการชอปปิง ต้องการหาคำตอบของอะไรบางอย่าง หรือแม้แต่ต้องการดูแผนที่ โดย Search Engine จะมีอัลกอริทึมที่สามารถคาดเดาความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ ทำให้เวลาเราเซิร์ชหาข้อมูล เราจะพบกับสิ่งที่กำลังตามหาอยู่อันดับบน ๆ ของลิสต์บนหน้าผลการค้นหาทันที

แต่นอกจากจะมีประโยชน์ในมุมผู้ใช้งานแล้ว Search Engine ยังมีความสำคัญต่อคนทำธุรกิจออนไลน์และเว็บไซต์ต่าง ๆ อีกด้วย

เชื่อว่าทุกคนที่ทำธุรกิจออนไลน์และมีเว็บไซต์ ต่างก็ต้องอยากให้เว็บไซต์ของตัวเองขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP) หน้าแรกกันทั้งนั้น ดังนั้น จะบอกว่า Search Engine คือตัวกลางที่ทำให้ผู้บริโภคและแบรนด์มาเจอกันและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้ก็ไม่ผิด แต่เมื่อบน Search Engine มีข้อมูลเยอะขึ้น การแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การจะขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหานั้นทำได้ไม่ง่ายนักในช่วงหลังมานี้ โดยจะมีอยู่ 2 แนวทางที่สามารถทำได้ คือ

Search Engine Optimisation (SEO)

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimisation คือ หนึ่งในกลยุทธ์ที่นักการตลาดออนไลน์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งแบบ On-Site และ Off-Site ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของอัลกอริทึม เพื่อดันเว็บไซต์ให้ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Search Engine โดยหัวใจสำคัญของ SEO ได้แก่ คีย์เวิร์ด กล่าวคือ เราจะต้องมีการทำ Keyword Research เพื่อหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและได้รับความนิยมสูงมาใช้เขียนบทความ SEO บนเว็บไซต์ จากนั้น เวลาที่มีคนเซิร์ชคีย์เวิร์ดดังกล่าว ก็จะเจอเว็บไซต์ของเราเป็นลำดับแรก ๆ

ข้อดีของการทำ SEO คือ ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีข้อจำกัด คือ ใช้ระยะเวลานาน ประมาณ 3-6 เดือน หรืออาจเป็นปี และต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการทำ เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมธุรกิจยุคใหม่จำนวนมากจึงหันไปพึ่งพาเอเจนซีรับทำ SEO กันเสียส่วนใหญ่ เพราะสามารถการันตีผลลัพธ์ได้มากกว่าทำเอง แต่ต้องพิจารณาเลือกเอเจนซีดี ๆ ที่มีชื่อเสียง และรับทำ SEO สายขาว ไม่เช่นนั้น ผลลัพธ์ธุรกิจอาจพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้

Pay Per Click (PPC)

Pay Per Click หรือ PPC คือ การซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าผลการค้นหาของ Search Engine ให้เว็บไซต์ของตนเองขึ้นเป็นอันดับแรก ๆ ข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลาทำ SEO เป็นครึ่งค่อนปี แต่ข้อจำกัดคือ มีค่าใช้จ่ายที่ระบุแน่นอนไม่ได้ เพราะต้องไปประมูลแข่งขันกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ต้องการทำ PPC เหมือนกันอีกที กล่าวคือ ใครจ่ายมากกว่าก็จะได้อันดับที่สูงกว่าไป โดยเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ทาง Seacrh Engine ทุกครั้งที่มีผู้ใช้งานคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะซื้อหรือไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเราก็ตาม แต่สิ่งที่จะได้กลับมาแน่นอนคือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) เพราะเว็บไซต์ของเราจะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ทันทีที่มีการตกลงซื้อ-ขายพื้นที่โฆษณา ดังที่เราจะเห็นบ่อย ๆ ว่าบางเว็บไซต์ที่อยู่อันดับแรก ๆ บนหน้าผลการค้นหาจะมีคำว่า “Ad” อยู่ข้างหน้านั่นเอง

Search Engine ที่นิยมใช้มากที่สุด

ประเภทของ Search Engine มีอะไรบ้าง

Search Engine สามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ 3 ประเภท คือ

1. Meta Search Engine

Meta Search Engine คือ เครื่องมือค้นหาที่อาศัย Meta Tag ในการทำงาน โดยชุดคำสั่งที่รับมาจะอยู่ในรูปแบบของ Text Editor และใช้ภาษา HTML ในการประมวลผลลัพธ์ ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดที่ตามมา คือ ความแม่นยำในการค้นหาค่อนข้างต่ำ เพราะเป็น Search Engine รูปแบบที่ผู้ให้บริการสามารถแก้ไขและออกแบบเองได้เพื่อให้เว็บไซต์ของตนเองถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น

2. Web Directory

Web Directory คือ เครื่องมือค้นหาที่มีการจัดแบ่งหมวดหมู่ข้อมูลไว้เป็นสัดส่วน คล้ายสารบัญของหนังสือ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ข้อดีคือ มีความแม่นยำในการค้นหาสูง และสามารถเปรียบเทียบเนื้อหาที่คล้ายกันของอีกเว็บไซต์หนึ่งได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงประเด็นมากที่สุด ตัวอย่าง Search Engine ที่มีชื่อเสียง เช่น Yahoo!

3. Crawler-Based Search Engine

Crawler-Based Search Engine คือ เครื่องมือค้นหาที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้งานมากที่สุด เพราะมีหลักการทำงานโดยการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้มากมายภายใต้ฐานข้อมูลและซอฟต์แวร์ ทำให้สามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง อย่าง Google ก็เป็นหนึ่งใน Crawler-Based Search Engine เช่นกัน

 

หลักการทำงานของ Search Engine คืออะไร

ในการทำงานของ Search Engine จะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1. Crawling

Crawling คือ ขั้นตอนการเก็บและรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ โดยเมื่อเราเผยแพร่หน้าเพจหนึ่ง ๆ ไปแล้ว บอตของ Search Engine ก็จะเข้ามา Crawl ดูว่าบนเว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ซึ่งรวมถึงข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ดังนั้น เพื่อให้ Search Engine เข้าใจได้ง่ายขึ้น เราจึงควรทำทุกอย่างให้สอดคล้องกัน ตั้งแต่ URL, SEO Title, H1 ไปจนถึงเนื้อหาด้านในเพจ

2. Indexing

เมื่อเก็บและรวบรวมข้อมูลได้แล้ว บอตของ Search Engine ก็จะนำข้อมูลเหล่านั้นไปทำการ Index หรือทำดัชนีเนื้อหา ซึ่งเปรียบได้กับสารบัญของหนังสือขนาดใหญ่ที่รวบรวมทุกเว็บไซต์เอาไว้ ว่าเนื้อหาของใครมีแนวโน้มว่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้งาน และตรงตามเกณฑ์ที่อัลกอริทึมกำหนดมากที่สุด ในส่วนนี้ จะต้องอาศัยการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้อัลกอริทึมมองว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราดีกว่าคู่แข่ง

3. Ranking

หลังจากเปรียบเทียบเนื้อหาของแต่ละเว็บไซต์แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำเว็บไซต์เหล่านั้นมาจัดอันดับเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้งานเห็น ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเว็บไซต์ของเราจะได้เป็นอันดับที่เท่าไร เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ Search Engine สิ่งที่เราทำได้มีเพียงการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ Search Engine กำหนดเท่านั้น

 

Search Engine เครื่องมือค้นหาที่ชีวิตยุคใหม่ขาดไม่ได้

สรุปได้ว่า Search Engine คือ เครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่เราต้องการบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งเชื่อว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้ก็คงจะคุ้นชินกันดีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญในแง่การตลาด หรือยังไม่เข้าใจหลักการทำงานของสิ่งนี้มากนัก แต่หลังจากนี้ไป ธุรกิจออนไลน์ทุกประเภทควรหันมาโฟกัส Search Engine ให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันหลัก เพราะหากลองมองในมุมผู้บริโภค เวลาที่เราต้องการอะไรสักอย่างหนึ่ง สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือ Search Engine อย่าง Google นั่นเอง และถ้าหากเราสามารถทำให้เว็บไซต์ของตนเองขึ้นไปอยู่อันดับแรก ๆ ได้ โอกาสที่จะเพิ่มกำไรให้ธุรกิจก็อยู่ไม่ไกลแล้ว

หากคุณกำลังประสบปัญหาในการทำธุรกิจออนไลน์ หรือไม่มั่นใจที่จะทำ SEO ด้วยตัวเอง ติดต่อ Primal Digital Agency ได้เลยวันนี้ เราเป็นบริษัทรับทำ SEO ชั้นนำของไทยที่จะช่วยพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จที่คุณคาดหวัง