Google Leak เผย 7 ข้อสำคัญที่นัก SEO ต้องรีบอัปเดตด่วน

เหล่านักการตลาดออนไลน์คงจะเข้าใจกันดีว่า การทำ SEO นั้นมีกฎเกณฑ์เยอะและเปลี่ยนบ่อยแค่ไหน อะไรที่ Google ประกาศออกมาในวันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ในระยะยาว เพราะอีก 2-3 เดือนก็มีข้อเปลี่ยนแปลงใหม่ออกมาอีก เป็นสาเหตุว่าทำไมนัก SEO จึงต้องคอยอัปเดตเทรนด์กันจนหัวหมุน ก็เพื่อให้เว็บไซต์สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ที่อัลกอริทึมกำหนดได้แบบเรียลไทม์นั่นเอง

แต่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่สะเทือนวงการ SEO ได้แก่ Google Leak หรือการที่เอกสารกว่า 2,500 ไฟล์ของ Google รั่วไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่า เป็นความไม่รอบคอบของพนักงาน ความผิดพลาด หรือการโดนแฮก ทว่าหนึ่งในเนื้อหาที่ทำให้ชาวเน็ตถึงกับตาลุกวาวและให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ คือ กฎเกณฑ์ที่ Google ใช้พิจารณาในการทำ SEO ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แถมบางข้อ ทางบริษัทฯ ยังเคยออกมาปฏิเสธอีกด้วยว่าไม่เกี่ยวกับการทำ SEO สักนิด ! เรียกว่าพอรู้แบบนี้แล้วก็สร้างความไม่พอใจให้แก่นัก SEO บางส่วนอยู่เหมือนกัน

บทความนี้จะเผยข้อมูลส่วนหนึ่งจาก Google Leak ให้ทุกคนได้รู้ เกี่ยวกับ 7 ปัจจัยสำคัญด้านการทำ SEO ที่เคยเป็นความลับแต่ตอนนี้ไม่ลับอีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการดันอันดับเว็บไซต์ของตนเองกันอีกครั้ง !

Google Leak คือ ข้อมูลของ Google ที่รั่วไหลออกมา

7 ข้อสรุปที่ได้จาก Google Leak เรื่องปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการทำ SEO

1. Domain Authority (DA) – ค่าความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

Domain Authority หรือคะแนนที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจของเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่ Google เคยออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่ได้ใช้ปัจจัยส่วนนี้พิจารณาในการจัดอันดับ SEO แต่อย่างใด ทว่าจากหลักฐาน Google Leak ก็ทำให้เหล่านัก SEO ถึงกับร้อง “อ้าว !” โดยทั่วกัน เพราะข้อมูลที่รั่วไหลออกมานั้นปรากฏชัดเจนว่า Google พิจารณาจาก Domain Authority ของเว็บไซต์อยู่ดี

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : เน้นไปที่การทำ Backlink และการสร้างคอนเทนต์คุณภาพเป็นประจำเพื่อให้ค่า DA สูงขึ้น

2. Click Data and Rankings – ข้อมูลการคลิกมีผลต่ออันดับเว็บไซต์

Google มีระบบที่เรียกว่า “NavBoost” ซึ่งเป็นระบบที่ประเมินผลบนหน้าการค้นหา โดยการใช้ข้อมูลการคลิกของแต่ละเว็บไซต์มาเป็นตัวชี้วัด เป็นอีกหนึ่งข้อที่ขัดกับคำประกาศก่อนหน้านี้ของ Google ที่บอกว่ายอดคลิกไม่มีผลอะไรต่อการจัดอันดับ แต่แท้จริงแล้ว พวกเขากลับแอบประเมินเว็บไซต์ของพวกเราทุกคนโดยใช้ข้อมูลการคลิกอยู่ลับ ๆ เพราะยอดการคลิกที่มากเป็นปัจจัยที่บ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้น ๆ มีคอนเทนต์คุณภาพและเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ทำอยู่จริง

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : เขียน Title ให้น่าดึงดูด รวมถึง Meta Description ที่ชัดเจน กระตุ้นการคลิกให้มากขึ้น

3. Sandbox for New Sites – บททดสอบสำหรับเว็บไซต์ใหม่

ข้อมูลจาก Google Leak ยืนยันว่า Sandbox หรือหลุมทรายที่ Google จะเอาเว็บไซต์ของเราไปซ่อนไว้แล้วจำกัดการมองเห็นเป็นการชั่วคราวนั้นมีอยู่จริง แต่จะใช้กับเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่ เพื่อกรองและประเมินคุณภาพก่อนว่ามีความน่าเชื่อถือแค่ไหน โดยก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเรื่อง Sandbox ออกมาบ้าง แต่ Google ก็เคยปฏิเสธว่าไม่มีจริง เรื่องนี้จึงสร้างความงุนงงให้แก่นัก SEO อีกเช่นกัน

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : สร้างเว็บไซต์ให้น่าเชื่อถือโดยปฏิบัติตามกฎเบื้องต้นที่ทาง Google กำหนด เพื่อให้หลุดจาก Sandbox โดยไว

4. Chrome Data Usage – ข้อมูลการใช้งานบน Chrome

Google จะอ้างอิงข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น ระยะเวลาการอยู่บนเว็บไซต์ การคลิกไปยังหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ การมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหา ฯลฯ เฉพาะบนบราวเซอร์ Chrome เท่านั้น ในการนำมาพิจารณาเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : ออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ Chrome เป็นหลัก และสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์เพื่อทำให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น

บริษัท Google ยอมรับว่าข้อมูลใน Google Leak เป็นความจริง

5. Backlinks – การสร้างลิงก์คุณภาพ

ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่มากนัก แต่การที่ปรากฏอยู่ใน Google Leak ก็แสดงให้เห็นว่า Google ให้ความสำคัญกับ Backlink เสมอมา แต่ต่อไปนี้เราอาจจะต้องหันมาโฟกัสที่คุณภาพของลิงก์ให้มากกว่าปริมาณ จริงอยู่ที่ว่าทำเยอะมีโอกาสติดแรงก์สูง แต่จากข้อมูลที่รั่วไหลมานี้พบว่า Google จะให้ความสำคัญเฉพาะลิงก์ที่ถูกส่งมาจากเว็บไซต์ใหญ่และน่าเชื่อถือเท่านั้น

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : เป็นพาร์ตเนอร์กับเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อทำ Backlink ส่งกลับมายังเว็บไซต์ของตนเอง และลดปริมาณ Backlink ที่ไม่มีคุณภาพลง

6. Expertise and Authority – ความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือ

แค่มีเนื้อหาและบทความในเว็บไซต์อย่างเดียวไม่พอ แต่นักเขียนที่เป็นผู้สร้างเนื้อหาเหล่านั้นก็ต้องมีความเชี่ยวชาญจริง ๆ ด้วย เพื่อให้เนื้อหาดูมีความน่าเชื่อถือ อันจะส่งผลให้เว็บไซต์ดูเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมดังกล่าวจริง ๆ และมีโอกาสติดอันดับสูงกว่าเว็บไซต์ที่เขียนเนื้อหาโดยบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่นักเขียนผู้เชี่ยวชาญ

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : สร้างโพรไฟล์ของนักเขียน โดยระบุตัวตน ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรืออื่น ๆ ที่บ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือ

7. Content Freshness – ความสดใหม่ของเนื้อหา

Google จะพิจารณาจากวันที่ที่อัปเดตเนื้อหา เพื่อนำมาใช้ในการจัดอันดับ กล่าวคือ เนื้อหาที่ใหม่กว่าย่อมมีโอกาสติดแรงก์มากกว่า ส่วนเนื้อหาที่เก่าแล้วก็จะถูกทำให้แรงก์ตก เนื่องจากอัลกอริทึมจะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาอยู่เรื่อย ๆ

สิ่งที่เว็บไซต์ต้องทำ : หมั่นอัปเดตเนื้อหาให้เป็นปัจจุบัน และโพสต์ข้อมูลที่ทันสมัยเป็นประจำ

 

แม้จะมีหลายข้อไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ Google เคยออกมาปฏิเสธ แต่เมื่อมีข้อมูล Google Leak รั่วไหลออกมา ทางบริษัท Google จึงได้ออกมายอมรับแล้วว่าเนื้อหาทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นความจริง 

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ คือ การทำ SEO นั้นเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ เราสามารถนำแนวทางข้างต้นนี้ไปปรับใช้ได้ ทว่าก็ควรหมั่นทดลองกลยุทธ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเองเช่นกันว่า แบบไหนที่เหมาะกับเว็บไซต์และกลุ่มเป้าหมายของเรามากที่สุด เพราะผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่แท้จริงไม่ควรยึดติดกับคำแนะนำของ Google เพียงอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักวิเคราะห์และปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเว็บไซต์ตนเองด้วย

หากรู้สึกว่า SEO มีกฎเกณฑ์เยอะและเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับคุณ จนไม่มีเวลาอัปเดตเทรนด์ให้เป็นปัจจุบันอยู่ตลอด ที่ Primal Digital Agency เราเป็นบริษัทรับทำ SEO ที่มีผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คนพร้อมให้บริการและดูแลธุรกิจคุณให้เหมือนกับที่เราทำธุรกิจของตัวเอง รับประกันเว็บไซต์ติดอันดับภายใน 90 วัน ติดต่อเราเพื่อรับแผนกลยุทธ์ฟรีได้เลยวันนี้