ส่องประเภทของ Google Ads พร้อมอัปเดตเทรนด์ล่าสุด ปี 2023

ในโลกของการตลาดออนไลน์ การเกิดขึ้นของเทรนด์หรือเครื่องมือใหม่ ๆ เป็นเรื่องปกติที่นักการตลาดทุกคนต้องพบเจอ ยิ่งในปี 2023 ที่หลาย ๆ ธุรกิจได้หันมาลงสนาม Google Ads เพื่อซื้อโฆษณาออนไลน์กันมากยิ่งขึ้น ทำให้อัลกอริทึม (Algorithm) ของ Google ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานได้มากกว่าเดิม ทำให้ผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ควรติดตามเทรนด์ให้ทัน เพื่อจะได้นำไปพัฒนาแผนการตลาดให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ รวมถึงจะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสุดท้ายแล้ว นอกจากจะส่งผลดีต่อยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น ยังจะช่วยให้สามารถเอาชนะคู่แข่งในสนามเดียวกันได้อีกด้วย 

เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ตกเทรนด์ เราได้รวบรวมประเภทของ Google Ads พร้อมอัปเดตเทรนด์ฉบับปี 2023 ที่น่าสนใจมาไว้ให้แล้ว แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนบ้าง ไปรู้พร้อมกันได้เลย!

 

ทบทวนความจำ Google Ads คืออะไร?

Google Ads คือการทำโฆษณาบน Google ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Search Engine ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก เดิมทีใช้ชื่อว่า Google AdWords จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเมื่อปี 2018 สำหรับ Google Ads นั้นสามารถใช้งานกับธุรกิจทั่วไปได้ตั้งแต่ SME ขนาดเล็กไปจนถึงระดับอุตสาหกรรม มีวัตถุประสงค์ทางการตลาดออนไลน์ โดยใช้เป็นช่องทางในการโปรโมตสินค้าและบริการ ทั้งบน Google Search, YouTube รวมถึงใช้กระจายโฆษณาไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ได้

Google มีรูปแบบการทำโฆษณาให้เลือกหลากหลายประเภท ในแต่ละประเภทก็อาจเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการทำโฆษณาต่างกันออกไป ดังนี้

  • Sales: เพิ่มยอดขายออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ หรือ Online Shop
  • Leads : เพิ่มจำนวนลูกค้าและโอกาสทางการขายโดยการดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณา
  • Website Traffic : เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ด้วยกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด
  • Product & Brand Consideration : ช่วยให้ผู้คนเห็นสินค้าและแบรนด์ ทำให้มีส่วนในการตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • Brand Awareness & Reach : เพิ่มการมองเห็นและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
  • App Promotion : เพิ่มโอกาสให้ผู้คนเห็นแอปฯ และดาวน์โหลดมาติดตั้งในสมาร์ตโฟนของตัวเองมากขึ้น (สำหรับคนทำแอปพลิเคชั่น)
  • Create Campaign Without A Goal’s Guidance : สร้างแคมเปญด้วยการกำหนดเองทุกขั้นตอน ช่วยให้ทำโฆษณาได้อิสระและเหมาะสมกับแบรนด์มากที่สุด

เทรนด์ Google ads 2023

ประเภทของ Google Ads มีรูปแบบไหนบ้าง?

Marketing Campaign คือกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายธุรกิจที่แตกต่างกันไป โดยในการสร้างแคมเปญ Google Ads ในปี 2023 จะมีรูปแบบโฆษณาให้เลือกทั้งหมด 6 ประเภทดังต่อไปนี้

1.   Search (Google Search)

วัตถุประสงค์ที่เลือกได้: Sales, Lead, Website Traffic

Search Ads คือ บริการที่คนนิยมใช้ทำโฆษณาบน Google เป็นลำดับแรก ๆ โดยรูปแบบการทำโฆษณาประเภทนี้ จะใช้คีย์เวิร์ดเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของบริการ นั่นก็คือการ “โฆษณาค้นหา” ซึ่งแน่นอนว่าเวลาผู้คนค้นหาบน Google มักจะพิมพ์คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาลงไป แล้วเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นั้นจะแสดงผลขึ้นมาให้ผู้ค้นหาเลือกเข้าชม

ซึ่งการแสดงผลของ Seach Ads นี้โฆษณาจะขึ้นเป็นลิงก์ที่อยู่บนหน้าแรกของการค้นหาใน Google ลักษณะเดียวกันกับการทำ SEO (Seach Engine Optimization) แต่ความพิเศษของ Search Ads คือจะมีคำว่า Ad นำหน้าลิงก์และสามารถเลือกใส่ส่วนขยายของโฆษณาได้ ทำให้ลิงก์เว็บไซต์สามารถขึ้นโชว์ในหน้าแรกได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลาเหมือนกับการทำ SEO ส่วนโฆษณาของใครจะขึ้นมาอยู่อันดับแรกนั้นขึ้นอยู่กับการประมูลคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้

2.   Display (Google Display Network)

วัตถุประสงค์ที่เลือกได้: Sales, Lead, Website Traffic, Brand Awareness & Reach

Google Display Ads คือโฆษณาที่แสดงผลในรูปแบบของแบนเนอร์รูปภาพและตัวหนังสือ (Text Ads) โดยการทำโฆษณาวิธีนี้ Google จะส่งแบนเนอร์ที่กำหนดเอาไว้ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรและมีหมวดหมู่เกี่ยวข้องกับโฆษณาแบรนด์สินค้าหรือบริการของเรา การทำโฆษณาแบบนี้เป็นที่นิยมไม่น้อยเพราะสามารถทำภาพได้หลากหลายขนาดและยังเพิ่มโอกาสให้ผู้คนเห็นโฆษณาของเราได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการกระจายโฆษณาไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ด้วย

3.   Shopping

วัตถุประสงค์ที่เลือกได้: Sales, Lead, Website Traffic

Google Shopping Ads คือโฆษณาที่คุณสามารถใส่รูปภาพพร้อมรายละเอียดของสินค้าลงไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าพอมีคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ Google ก็จะแสดงภาพสินค้า รายละเอียด พร้อมราคาของสินค้าชิ้นนั้น ๆ ในทันทีและหากผู้ค้นหาสนใจก็สามารถคลิกเข้าไปและทำการสั่งซื้อสินค้าบนหน้า Online Shop ของคุณได้เลย

รูปแบบการแสดงผลจะคล้าย ๆ กับ Marketplace เพราะผู้ค้นหาจะไม่ได้เห็นสินค้าจากเว็บไซต์เดียว แต่จะมีเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีสินค้าประเภทเดียวกันหรือคล้ายกันแสดงราคาไว้ให้เปรียบเทียบด้วย เพื่อให้ลูกค้าทำการตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น

4.   Video (YouTube)

วัตถุประสงค์ที่เลือกได้: Sales, Lead, Website Traffic, Product & Brand Consideration, Brand Awareness & Reach

YouTube Ads คือโฆษณาในรูปแบบ Video ที่แสดงผลในขณะที่ผู้คนกำลังรับชมวิดีโอต่าง ๆ บน YouTube โดยจะขึ้นได้ทั้งช่วงต้นคลิปและระหว่างคลิป ซึ่งตรงส่วนนี้คนทำคลิปวิดีโอบน YouTube หรือที่เราเรียกกันว่า YouTuber ยังจะได้รับส่วนแบ่งจากค่าโฆษณาหากช่อง YouTube และวิดีโอที่พวกเขาทำเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ Google กำหนด

5.   App

วัตถุประสงค์ที่เลือกได้: App Promotion

เป็นประเภทของ Google Ads เฉพาะสำหรับแอปพลิเคชัน โดยจะเป็นการนำเสนอแอปพลิเคชันที่มีการทำโฆษณาทั้งในรูปแบบของ GDN ไม่ว่าจะเป็นบน YouTube หรือ Website ต่าง ๆ จนไปถึงบน Google Play Store ซึ่งข้อดีของการทำโฆษณาในรูปแบบนี้ คือผู้ใช้สามารถกดที่โฆษณานั้น ๆ และติดตั้งแอปฯ ได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าออก Play Store เพื่อค้นหาให้วุ่นวาย

6.   Remarketing

Remarketing คือรูปแบบการนำโฆษณา Google Ads ประเภทต่าง ๆ ทั้ง Google Search, Google Display Network, Google Shopping ไปแสดงซ้ำ ๆ เพื่อทำให้ผู้เข้าชมที่เคยมีส่วนร่วม (Engagement) หรือเคยมี Action บางอย่างกับเว็บฯ ได้เห็นโฆษณานั้นซ้ำอีกครั้ง เช่น หากกลุ่มเป้าหมายต้องการซื้อน้ำยาซักผ้า เมื่อพวกเขาเซิร์จหาคำว่า “น้ำยาซักผ้ายี่ห้อ A” ในช่องเซิร์จ และกดปิดเว็บไซต์ไปแบบยังไม่กดซื้อ ระบบจะทำการเก็บข้อมูล จากนั้นเมื่อกลุ่มเป้าหมายเข้าเว็บไซต์อื่น ๆ ระบบก็จะแสดงแบนเนอร์ “น้ำยาซักผ้า A” ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นซ้ำ โดยการที่ Remarketing นำเอาแบนเนอร์โฆษณาตามติดกลุ่มเป้าหมายไปทุกที่ ๆ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้ว่ายังมีแบรนด์นี้อยู่ และรู้สึกอยากกลับมาซื้อสินค้าของแบรนด์ที่เห็นเพิ่มมากขึ้น

แต่สิ่งที่นักการตลาดควรรู้เกี่ยวกับ Google Ads ไม่ได้มีแค่ประเภทของ Google Ads เท่านั้น แต่ยังควรดูเทรนด์ และตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมที่ Google ให้ความสำคัญ รวมถึงอัปเดตเครื่องมือใหม่ ๆ ที่กำลังมีบทบาท เพื่อให้วางแผนทำ Google Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับสิ่งที่นักทำ Google Ads ต้องรู้ในปี 2023 มีดังนี้

เทรนด์ Google ads

อัปเดตการทำ Google Ads สำหรับธุรกิจในปี 2023

1.   Landing Page คุณภาพเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

ด้วยการซื้อโฆษณาผ่าน Google Ads หน้า Landing Page เป็นประตูสำคัญที่นำลูกค้ามาสู่หน้าเว็บของเรา ในปี 2023 นี้ Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของ Landing Page มากขึ้น จึงได้กำหนดนโยบายที่นักการตลาดควรปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้หน้า Landing Page ต้องใช้งานสะดวก อัปโหลดหน้าเว็บได้ไว URL ที่สร้างควรสอดคล้องกับโครงสร้างของไวยากรณ์และสามารถเชื่อมต่อไปยังหน้าเว็บไซต์ได้โดยไม่มีการเปลี่ยนเส้นทาง และหากนักการตลาดสามารถปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ได้ Landing Page ก็จะมีคุณภาพและเกิด Conversion สูงสุดจากการทำโฆษณาผ่าน Google ได้

2.   ใช้ Performance Max เพิ่มผลลัพธ์

Performance Max คือแคมเปญใหม่ที่ Google แนะนำในปี 2021 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2023 โดยวัตถุประสงค์ของการใช้แคมเปญนี้ก็เพื่อสร้าง Conversion ทางช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางค้นหา (Google Search) ช่องทางวีดิโอ (Video) ช่องทางแผนที่ (Google Map) รวมถึง Google Display Network โดยแคมเปญตัวใหม่นี้จะสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่โฆษณาของ Google Ads และสามารถยิงแอดแคมเปญเดียวไปยังหลาย ๆ แพลตฟอร์ม อีกทั้งยังสามารถสร้างเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงอย่างการสร้าง Look a Like Audience ซึ่งก็คือข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ  และยังมี Biding Performance Max ที่ช่วยวางแผนคุมงบประมาณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การซื้อโฆษณาที่ดีขึ้น

3.   ไม่มี Third-Party Cookie อีกต่อไป

ในปี 2023 Google ได้ประกาศยกเลิกการเก็บข้อมูล Third-Party Cookies เนื่องจากคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม ดังนั้น นักการตลาดทุกคนที่ต้องวางแผนซื้อโฆษณาใน Google จึงควรวางแผนเรื่องการเก็บข้อมูลลูกค้าใหม่ โดยอาจเปลี่ยนจากการเก็บข้อมูลด้วย Third-Party Cookies มาใช้ข้อมูลจาก First-Party Cookie ที่มาจากเว็บไซต์ของเราเองแทนที่ ด้วยวิธีการนี้จะยังช่วยให้สามารถวิเคราะห์แผนการซื้อโฆษณาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแม่นยำได้เหมือนเดิม

4.   Google Shopping ได้รับความนิยมสูงขึ้นต่อเนื่อง

จากข้อมูลของเว็บไซต์ Storegrowers ได้ระบุว่า ตอนนี้นักการตลาดนิยมซื้อโฆษณาผ่าน Google Shopping เพิ่มสูงขึ้นถึง 38% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการโฆษณาของ Google Ads รูปแบบนี้สามารถแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบภาพ พร้อมรายละเอียดสำคัญ ๆ ที่ลูกค้าต้องการ ทั้งราคา รูปแบบการส่งสินค้า หรือแม้แต่คะแนนรีวิว ทำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจคลิกไปยังหน้าแอดได้ง่ายขึ้น ดังนั้น นักการตลาดคนใดที่ต้องการเพิ่มผลลัพธ์การซื้อโฆษณาให้มีประสิทธิภาพในปี 2023 นี้ Google Shopping ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก 

5.   Smart Bidding กำลังมีบทบาทสูงขึ้น

PPC คืออัตราค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่นักซื้อโฆษณาทุกคนให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้ Google จึงได้พัฒนาอัลกอริทึมอย่าง Smart Bidding ขึ้นมา 

สำหรับ Smart Bidding หรือเครื่องมือช่วยซื้อโฆษณา จะทำหน้าที่ช่วยควบคุมงบประมาณการยิงโฆษณา โดยเน้นให้มีการเสนอราคา Bidding ที่คุ้มค่าที่สุดให้กับแคมเปญตามเวลาจริง พร้อมกันนั้น การเสนอราคา Bid แต่ละครั้งก็จะอิงตามข้อมูลแคมเปญที่มีอยู่ ทำให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพแม้ยังไม่มีข้อมูลใด ๆ รองรับ โดยการใช้ Smart Bidding ยังช่วยเพิ่ม Conversion ของแคมเปญและเพิ่มผลตอบแทนจากการยิงโฆษณา (ROAS) ได้ด้วย

6.   Product Feeds กำลังมาแรง

นอกจากโฆษณาผ่านวิดีโอใน Youtube รูปแบบปกติ ในปี 2023 นี้ เทรนด์การโฆษณาแบบ Product Feeds บน Youtube ก็กำลังมาแรงเช่นกัน โดยแบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าผ่าน Feeds ด้านล่างโฆษณาในรูปแบบ Showcase เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าไปใน Youtube เห็นสินค้าและบริการที่สนใจ พร้อมกันนั้นพวกเขายังสามารถคลิกที่รูปภาพนั้น ๆ เพื่อไปยังหน้าเว็บไซต์ได้โดยตรง แต่ถึงแม้ Product Feeds จะมีข้อจำกัดที่ผู้ใช้จะสามารถมองเห็น Feeds ได้ในกรณีที่ใช้งานสมาร์ตโฟนแบบแนวตั้งเท่านั้น แต่ Product Feeds ก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้ดี และสามารถเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ๆ จากแพลตฟอร์ม Youtube นับเป็นเทรนด์ Google Ads 2023 ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง

7.   มีแคมเปญท้องถิ่น

ในปี 2023 แคมเปญท้องถิ่นของ Google Ads จะถูกนำมาใช้งานมากขึ้น! โดยแคมเปญท้องถิ่นจะช่วยให้ธุรกิจกำหนดเป้าหมายโฆษณาไปยังลูกค้าในสถานที่ทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง สิ่งนี้เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจที่มีที่ตั้งหลายแห่งหรือมีบริการให้ลูกค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการใช้ Google Ads เข้าถึงกลุ่มคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น

8.   ปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมการแสดง ‘อันดับโฆษณา’

Google Ads จะปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมการกำหนดตำแหน่งที่โฆษณา ที่จะไปปรากฏบนหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา SERP ด้วย โดยในปี 2023 นี้ Google จะใช้คุณภาพโฆษณามาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาลำดับการแสดงผล ไม่ว่าจะเป็นอัตราการคลิก อัตราการแปลง ดังนั้น ถ้าอยากให้ลำดับโฆษณา Google Ads สูงขึ้น ก็ต้องสร้างโฆษณาที่มีคุณภาพด้วย

สรุป

Google Ads เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นได้ในวงกว้าง ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรหมั่นอัปเดตเทรนด์ ประเภทของ Google Ads และอัลกอริทึมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้นำไปปรับแผนทางธุรกิจได้ทันและสร้างผลลัพธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับใครที่กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการทำโฆษณา Google Ads บริษัท Primal Digital Agency มีนักการตลาดกว่า 150 คนที่พร้อมให้คำปรึกษา สามารถติดต่อเราเพื่อรับแผนการตลาดฟรีได้เลยวันนี้