ChatGPT คืออะไร แชตบอตสุดล้ำที่ตอบสารพัดข้อความแทนมนุษย์ได้!

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้ Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ กำลังได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก เพราะเป็นสิ่งที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Amazon, Microsoft หรือ Apple ต่างก็นำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกลยุทธ์การขายและการตลาดอย่างต่อเนื่อง

เรียกได้ว่า AI มีอิทธิพลต่อการทำการตลาดสมัยใหม่เป็นอย่างมาก เพราะมีงานหลายด้านที่ AI สามารถทำได้ดี และอาจทำแทนมนุษย์ได้ เช่น การจดจำเสียง ใบหน้า หรือสิ่งของ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การแปลภาษา การวางแผนที่ทำให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ธุรกิจ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำมากขึ้น ตลอดจน “การตอบแชต” ที่เราอาจไม่คาดคิดว่าจะมีหุ่นยนต์มาทำแทนคนได้อย่างแนบเนียน แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง “ChatGPT” แชตบอตแสนฉลาดที่สามารถตอบแชตได้ทุกเรื่องราวเสมือนมนุษย์ตัวเป็น ๆ

วันนี้เราจะมาพูดถึง "ChatGPT" แชตบอตแสนฉลาดที่สามารถตอบแชตได้ทุกเรื่องราวเสมือนมนุษย์ตัวเป็น ๆ

ChatGPT คืออะไร

เมื่อ 12 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อของ “SimSimi (ซิมซิมิ)” แชตบอตสุดฮิตที่เป็นกระแสในโลกอินเทอร์เน็ตอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะพิมพ์อะไรไป ซิมซิมิก็สามารถโต้ตอบได้อย่างชาญฉลาด และตลกเฮฮาเสมือนคุยกับเพื่อนจริง ๆ จนมาวันนี้ ความนิยมของซิมซิมิได้ลดลงไปมาก แต่เรามีแชตบอตปัญญาประดิษฐ์สุดอัจฉริยะ ถามอะไรก็ตอบได้ อย่าง “ChatGPT” ขึ้นมาแทน โดยระบบดังกล่าวถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง ทว่า ChatGPT ก็สามารถดึงความสนใจคนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

แล้ว ChatGPT คืออะไรล่ะ

ChatGPT คือ แชตบอตปัญญาประดิษฐ์รูปแบบหนึ่งของ GPT-3.5 Language Generation Software ซึ่งเป็นโพรเจกต์ภายใต้องค์กรที่พัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์อย่าง “OpenAI” โดย ChatGPT ถูกออกแบบมาเพื่อสนทนากับมนุษย์ มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การตอบคำถาม การตรวจสอบหลักฐานที่ผิด หรือแม้แต่การยอมรับของตัวระบบเองว่าผิดพลาด เป็นต้น

AI ของ ChatGPT ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่รวบรวมจากอินเทอร์เน็ต หมายความว่าแชตบอตตัวนี้สามารถให้คำตอบได้หลากหลายกว่า AI ตัวอื่น ๆ อีกทั้งยังได้รับการฝึกโดยใช้การผสมผสานระหว่าง Machine Learning แบบเสริมกำลังจากความคิดเห็นของมนุษย์ ที่เรียกว่า Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) ส่งผลให้คำตอบของ ChatGPT ไม่เพียงแต่ถูกต้องตามความเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังเขียนด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์เขียนเองอีกด้วย

 

จุดกำเนิดของ ChatGPT คืออะไร

ในปี 2015 บริษัท OpenAI ถือกำเนิดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำระบบ AI มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับมนุษย์ในรูปแบบที่ง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด โดย แซม อัลท์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OpenAI และอดีตประธานกรรมการ VC ชื่อดังอย่าง Y Combinator ตลอดจนผู้ร่วมก่อตั้งที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงอย่าง อีลอน มัสก์ แห่ง Tesla และ SpaceX และคนอื่น ๆ อีกมากมาย ได้รวมเงินก่อตั้งสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทในช่วงแรก และในภายหลังก็มีผู้สนับสนุนรายอื่น ๆ อย่าง รี้ด ฮอฟฟ์แมน ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn หรือแม้แต่ ปีเตอร์ ธีล ผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และอีกหลายคนเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ OpenAI ได้มีเงินทุนสำหรับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาถึง ChatGPT แชตบอตที่นับว่าชาญฉลาดที่สุดในยุค 2022

ทั้งนี้ ก่อนที่ ChatGPT จะถูกปล่อยออกมา ระบบบอตได้ถูกป้อนข้อมูลในรูปแบบข้อความเอาไว้จำนวนมาก จนสามารถตรวจจับรูปแบบการเขียนเพื่อพัฒนาออกมาในรูปแบบของตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ทาง OpenAI ไม่ได้เปิดเผยว่าใช้ข้อมูลใดบ้าง ระบุเพียงแต่ว่าใช้ข้อมูลจากหนังสือที่เก็บมา และวิกิพีเดีย (Wikipedia) เท่านั้น

 

ChatGPT ทำอะไรได้-ไม่ได้บ้าง

แม้ว่า ChatGPT จะได้รับการยกย่องว่าเป็นแชตบอตที่ฉลาดขนาดไหน แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่บ้าง เพราะยังไม่สามารถให้คำตอบได้ทุกเรื่อง โดยมีผู้ทดลองใช้งานเคยตั้งคำถามว่า โปเกมอนตัวไหนมีค่าพลังโจมตีมากที่สุด ระบบก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ รวมถึงเรื่องเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ระบบก็ไม่มีคำตอบให้เช่นกัน จึงสรุปได้ว่า ข้อมูลที่ ChatGPT มีคือ ข้อมูลที่อัปเดตถึงแค่เดือนพฤศจิกายน 2022 เท่านั้น แต่คาดว่าจะมีการอัปเดตมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ChatGPT ยังเรียนรู้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลบนอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ในระบบมีทั้งข้อมูลจริงและข้อมูลเท็จ และยังสามารถมีอคติทางเพศหรือทางเชื้อชาติ หรือใช้คำพูดแสดงความเกลียดชัง (Hate Speech) ได้อีกด้วย

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ChatGPT เองก็สามารถสร้างเนื้อหาเชิงลบได้เช่นกัน เทคโนโลยีนี้จึงอยู่ระหว่างการพัฒนา และยังไม่สามารถป้องกันความผิดพลาดได้ทั้งหมด ผู้ที่นำมาใช้งานจึงต้องระมัดระวังในส่วนนี้ด้วย

 

ChatGPT จะพลิกโฉมวงการแชตบอตจริงหรือ

ถึงการพัฒนาระบบของ ChatGPT จะยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Google กลับตื่นตัวกับ ChatGPT มาก ถึงขั้นประกาศ “รหัสแดง (Red Code)” ซึ่งเปรียบได้กับการกดสัญญาณเตือนไฟไหม้ให้กับการเปิดตัวของ ChatGPT ส่งผลให้ผู้ประกอบการในวงการเทคโนโลยีต่างก็ตื่นเต้นกับแชตบอตสุดอัจฉริยะตัวนี้เป็นอย่างมาก บางรายถึงกับกล่าวว่า การเปิดตัวของ ChatGPT นั้นเทียบเท่ากับการเปิดตัว iPhone ของ Apple ในช่วงปี 2007 เลยทีเดียว ซึ่งหลังจาก ChatGPT เปิดตัวได้เพียง 5 วัน ก็มีจำนวนผู้ใช้งานทะลุ 1 ล้านรายแล้ว

ทั้งนี้ หากมองในอุตสาหกรรมของแชตบอต จะเห็นได้ว่า ChatGPT ไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำแชตบอตออกมา เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple ก็ยังมี “Siri” ในขณะที่ Google เองก็มี “Google Assistant” และทาง Amazon ก็มี “Alexa” ที่สำคัญ มนุษย์เราต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ทุกครั้งที่มีการเปิดตัว เพราะการที่มีหุ่นยนต์ซึ่งฉลาดเพียงพอที่จะคุยกับมนุษย์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะพบเจอได้บ่อยนักในยุคก่อนหน้านี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว แม้แชตบอตข้างต้นจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังสามารถตอบได้เพียงคำถามพื้นฐานเท่านั้น แต่การเกิดขึ้นของ ChatGPT นั้นต่างออกไป เพราะระบบนี้สามารถตอบคำถามได้ในรูปแบบที่แตกต่าง อีกทั้งลักษณะภาษาการพิมพ์ยังดูมีความเป็นธรรมชาติราวกับมนุษย์พูดคุยกัน แสดงให้เห็นว่า ChatGPT ได้พาเทคโนโลยีแชตบอตก้าวเข้าสู่การพัฒนาอีกขั้นหนึ่งแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ยิ่งไปกว่านั้น นักวิเคราะห์จากบริษัทด้านข้อมูล PitchBook ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า นักลงทุนในสตาร์ตอัปจำนวนมาก ได้เปลี่ยนความสนใจจากกระแส Web 3.0 หรือคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มาเป็น “Generative AI” กันเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง คริซนา เจด ประธานบริหารของ Fiddler บริษัทด้าน AI ยังได้กล่าวอีกว่า การถือกำเนิดขึ้นของ ChatGPT นั้นอาจส่งผลกระทบไปถึงขั้นดิสรัปต์ (Disrupt) วงการ Search Engine ที่มีผู้นำรายใหญ่อย่าง Google ได้เลยทีเดียว เนื่องจาก Google ยังลังเลที่จะนำแชตบอตมาใช้แทนการค้นหาออนไลน์ ด้วยเพราะแชตบอตของ Google ไม่เหมาะกับการแสดงโฆษณา โดย อามีร์ อวาดัลเลาะห์ ผู้เคยทำงานให้กับ Yahoo และ Google กล่าวว่า Google มีปัญหาเรื่องโมเดลธุรกิจ หากให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบเลยสำหรับคำถามในแต่ละข้อที่ผู้ใช้งานถามมา ก็จะไม่มีพื้นที่สำหรับโฆษณาเลย ซึ่งพื้นที่โฆษณานั้นมีสัดส่วนในการทำรายได้ให้ Google มากถึง 80%

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีปัญญาประดิษฐ์ตัวใดที่สามารถแข่งกับ ChatGPT ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ คำกล่าวที่ว่า ChatGPT จะพลิกโฉมวงการแชตบอตให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้นก็คงไม่เกินจริงเท่าไรนัก

 

สรุป

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนน่าจะหายสงสัยกันแล้วว่า ChatGPT คืออะไร อธิบายโดยง่ายก็คือ ระบบดังกล่าวเป็นแชตบอตหรือปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนทนาโต้ตอบกับผู้ใช้งาน ตัวอย่างที่คล้าย ๆ กัน ได้แก่ Siri ของ Apple และ Google Assistant ของ Google แต่ ChatGPT ล้ำกว่านั้น เพราะระบบถูกฝึกให้เรียนรู้ข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ChatGPT ก็ยังเป็นหุ่นยนต์ที่มีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง และอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ดีขึ้นกว่านี้อีกในอนาคต

หากใครสนใจทดลองใช้ระบบดังกล่าว ก็สามารถไปสมัครเปิดบัญชีใหม่ฟรีได้เลยที่ https://chat.openai.com/auth/login โดยเมื่อสมัครแล้ว เราสามารถเข้าไปที่หน้าแชตของระบบ และสามารถถามคำถามอะไรก็ได้ที่ต้องการ แต่ควรหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่อ่อนไหว เช่น เรื่องเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว เป็นต้น

แต่หากรู้สึกว่า จะใช้ AI ก็มีต้นทุนสูง จะทำการตลาดเองก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร สามารถติดต่อ Primal Digital Agency เพื่อรับคำปรึกษาแผนการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้เลย!