แนะนำ 35 ฟีเจอร์ใน Asana พร้อมวิธีใช้ง่าย ๆ แบบ Step-by-step

แชร์บทความนี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ แพลตฟอร์มบริหารจัดการงานได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ฮอตฮิตสุด ๆ ก็คือ “Asana” หรือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ทีมสามารถวางแผน จัดระเบียบ และติดตามงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยจุดเด่นที่ใช้งานง่ายแสนง่าย แถมยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ครบครัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Uber, Pinterest และอีกมากมายเลือกใช้ Asana เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารงาน

ทีมกำลังหารือเพื่อนำแพลตฟอร์ม Asana เข้ามาช่วยบริหารจัดการงานในออฟฟิศ

Asana คือแพลตฟอร์มการจัดการงานและโครงการออนไลน์ที่ช่วยให้ทีมสามารถวางแผน จัดระเบียบ ติดตาม และจัดการงานทั้งหมดในที่เดียว

Asana คืออะไร

Asana คือแพลตฟอร์มการจัดการงานและโปรเจกต์ออนไลน์ที่ช่วยให้ทีมสามารถวางแผน จัดระเบียบ ติดตาม และจัดการงานทั้งหมดได้ในที่เดียว ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและฟีเจอร์ที่รองรับการทำงานร่วมกัน Asana จึงช่วยลดความซับซ้อนของการทำงาน ลดการสื่อสารที่ผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม

ประโยชน์ของ Asana ต่อการทำงาน

ติดตามความคืบหน้าของงานได้แบบเรียลไทม์

Asana ช่วยให้ทีมสามารถตรวจสอบสถานะของงานแต่ละชิ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งช่วยให้สมาชิกในทีมรับรู้ความคืบหน้าและสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที

ลดเวลาประชุมที่ไม่จำเป็น

เนื่องจากทุกรายละเอียดของการทำงาน จะถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบ ทีมจึงสามารถตรวจสอบข้อมูลได้โดยไม่ต้องจัดประชุมบ่อยครั้ง ทำให้สามารถโฟกัสไปที่การทำงานได้มากขึ้น และลดความล่าช้าในการดำเนินงาน

จัดลำดับความสำคัญของงานได้ชัดเจน

Asana ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดอันดับงานเร่งด่วน งานสำคัญ และกำหนดวันครบกำหนด (Deadline) ได้อย่างชัดเจน ทำให้สมาชิกในทีมรู้ว่าควรโฟกัสกับงานใดก่อน

แชร์ไฟล์และความคิดเห็นได้ในที่เดียว

ฟีเจอร์การแนบไฟล์และการแสดงความคิดเห็น จะช่วยให้สมาชิกในทีมสามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องส่งอีเมลหรือใช้หลายแพลตฟอร์มในการพูดคุย ทำให้ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในที่เดียวและเข้าถึงได้สะดวก

เชื่อมต่อกับแอปฯ อื่น ๆ ที่ใช้งานประจำได้

Asana รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือยอดนิยม เช่น Google Drive, Slack, Microsoft Teams และ Zoom ทำให้การทำงานลื่นไหลขึ้น โดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์ม ลดความยุ่งยากในการจัดการงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม

35 ฟีเจอร์หลักที่น่าสนใจของ Asana

แพลตฟอร์ม Asana อัดแน่นด้วยฟีเจอร์มากมาย ซึ่งเราขอรวบรวม 35 ฟีเจอร์หลักที่หลาย ๆ องค์กรใช้บ่อยมาแนะนำ

  • Tasks
    ใช้สำหรับสร้างงานใหม่ สามารถกำหนดรายละเอียดของงาน กำหนดวันครบกำหนด และมอบหมายให้ผู้รับผิดชอบได้
  • Projects
    จัดกลุ่มงานต่าง ๆ ไว้ในโปรเจกต์เพื่อช่วยให้ทีมสามารถบริหารจัดการงานได้ง่ายขึ้น ทำให้เห็นภาพรวมของโปรเจกต์ทั้งหมด
  • Sections และ Columns
    ใช้แบ่งงานภายในโปรเจกต์ให้อยู่เป็นหมวดหมู่ หรือใช้คอลัมน์เพื่อสร้างมุมมองแบบ Kanban Board ซึ่งช่วยให้จัดลำดับความสำคัญของงานได้ดีขึ้น
  • Project Templates
    เทมเพลตโปรเจกต์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างโปรเจกต์ใหม่ได้รวดเร็วขึ้น โดยใช้โครงสร้างที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อลดเวลาการตั้งค่าด้วยตัวเอง
  • Subtasks
    แบ่งงานใหญ่ออกเป็นงานย่อย ทำให้สามารถบริหารจัดการงานที่มีหลายขั้นตอนได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
  • Convert Task to Project
    สามารถเปลี่ยนงานให้กลายเป็นโปรเจกต์ได้หากพบว่างานนั้นมีรายละเอียดและขอบเขตกว้างขึ้น
  • Start and Due Dates
    กำหนดวันเริ่มต้นและวันครบกำหนดของงาน ทำให้สามารถติดตามกำหนดเวลาของงานแต่ละชิ้นได้ง่ายขึ้น
  • Attachments
    รองรับการแนบไฟล์จากอุปกรณ์หรือบริการคลาวด์ เช่น Google Drive และ Dropbox เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในที่เดียว
  • Likes
    ฟีเจอร์การกดไลก์ที่ช่วยให้สมาชิกในทีมแสดงการรับทราบหรือให้กำลังใจเพื่อนร่วมงานได้
  • Task Conversations
    สมาชิกในทีมสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับงานที่กำลังทำผ่านระบบแชตในงานนั้น ๆ ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลไม่กระจัดกระจาย
  • Project Conversations
    พื้นที่สำหรับพูดคุยเกี่ยวกับโปรเจกต์ทั้งหมด ซึ่งช่วยให้สมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและอัปเดตความคืบหน้าได้ง่ายขึ้น
  • Team Pages
    หน้ารวมข้อมูลของทีม โดยจะแสดงโปรเจกต์ที่ทีมกำลังทำอยู่ พร้อมทั้งอัปเดตล่าสุดของงานในทีม
  • My Tasks
    แสดงงานทั้งหมดที่มอบหมายให้ผู้ใช้ ช่วยให้จัดการงานของตนเองได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องค้นหาทีละโปรเจกต์
  • Inbox
    ศูนย์รวมการแจ้งเตือนที่ช่วยให้ผู้ใช้ไม่พลาดการอัปเดตเกี่ยวกับงานและโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้อง
  • Search
    สำหรับค้นหางาน โปรเจกต์ หรือไฟล์ที่ต้องการ ด้วยฟังก์ชันการค้นหาขั้นสูงที่ช่วยให้กรองผลลัพธ์ได้อย่างละเอียด
  • Dashboards
    แสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโปรเจกต์แบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้จัดการทีมสามารถวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การทำงานได้ทันที
  • Calendars
    มุมมองปฏิทินที่ช่วยให้สามารถวางแผนงานและติดตามกำหนดเวลาของงานทั้งหมดได้ง่ายขึ้น
  • Files View
    รวมไฟล์ที่แนบอยู่ในโปรเจกต์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ช่วยให้สามารถเข้าถึงและตรวจสอบไฟล์ต่าง ๆ ได้สะดวก
  • Task Assignees
    กำหนดผู้รับผิดชอบงานแต่ละชิ้นได้โดยตรง ทำให้มั่นใจว่างานจะถูกติดตามและดำเนินการโดยบุคคลที่เหมาะสม
  • Followers
    เพิ่มผู้ติดตามในงานหรือโปรเจกต์เพื่อให้บุคคลอื่นสามารถติดตามความคืบหน้าได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
  • Guests
    สามารถเชิญบุคคลภายนอก เช่น ลูกค้าหรือพาร์ตเนอร์ เข้าร่วมโปรเจกต์เพื่อดูงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลทั้งหมด
  • Private Projects
    โปรเจกต์ส่วนตัวที่สามารถควบคุมการเข้าถึงได้ เพื่อให้เฉพาะสมาชิกที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถดูหรือแก้ไขงานภายในโปรเจกต์
  • Admin Controls
    ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการสิทธิ์การเข้าถึง กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย และควบคุมการใช้งานของทีมได้อย่างละเอียด
  • Task Dependencies
    ฟีเจอร์ที่ช่วยกำหนดว่างานหนึ่งต้องรอให้งานอื่นเสร็จก่อนถึงจะเริ่มได้ ช่วยให้จัดการงานที่มีความเชื่อมโยงกันได้ง่ายขึ้น
  • Custom Fields
    ตัวช่วยเพิ่มฟิลด์ข้อมูลเฉพาะสำหรับโปรเจกต์ เช่น สถานะงาน ความสำคัญ หรือประเภทของงาน เพื่อให้ข้อมูลมีโครงสร้างที่เหมาะกับแต่ละทีม
  • Unlimited Dashboards
    สามารถสร้างแดชบอร์ดได้ไม่จำกัดเพื่อแสดงข้อมูลที่ต้องการติดตาม ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของโปรเจกต์ได้อย่างอิสระ
  • Comment-Only Projects
    โปรเจกต์ที่ให้สมาชิกบางคนสามารถดูและแสดงความคิดเห็นได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดงานได้
  • Workload
    แสดงภาระงานของแต่ละสมาชิกในทีม ทำให้สามารถกระจายงานได้อย่างเหมาะสม ลดปัญหางานล้นมือ
  • Goals
    ตั้งเป้าหมายระดับทีมและองค์กร พร้อมติดตามความคืบหน้าผ่านการเชื่อมโยงกับงานและโปรเจกต์
  • Automation
    ตั้งค่าอัตโนมัติให้ Asana จัดการงานบางอย่างแทน เช่น การเปลี่ยนสถานะงานเมื่อถึงกำหนด หรือมอบหมายงานตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
  • Rules
    กำหนดเงื่อนไขเฉพาะสำหรับงาน เช่น หากงานถูกเลื่อนสถานะเป็น “เสร็จสิ้น” ให้ระบบปิดการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติ
  • Forms
    สร้างแบบฟอร์มเพื่อรับคำขอหรือข้อมูลจากทีมอื่น ๆ ได้โดยตรงภายใน Asana
  • Approvals
    ฟีเจอร์สำหรับขออนุมัติงานหรือเอกสารจากหัวหน้าทีม ช่วยให้กระบวนการตรวจสอบงานเป็นระเบียบและโปร่งใส
  • Reporting
    ระบบรายงานที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของทีมและความคืบหน้าของโปรเจกต์
  • Goals and Key Results (OKRs)
    เชื่อมโยงงานและโปรเจกต์กับเป้าหมายของบริษัท เพื่อให้ทีมสามารถวัดผลและปรับปรุงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีใช้ Asana ทำตามได้ Step-by-Step

สร้างโปรเจกต์และเชิญทีมเข้าร่วม

เริ่มต้นด้วยการสร้างโปรเจกต์ใหม่ใน Asana เพื่อจัดระเบียบงานของทีม โดยคุณสามารถตั้งค่าโปรเจกต์ให้เหมาะสมกับลักษณะงานได้ดังนี้

  • คลิก “Create Project” และเลือกวิธีการสร้าง
    • Blank Project – สร้างโปรเจกต์ใหม่
    • Use a Template – ใช้เทมเพลตที่มีอยู่เพื่อลดเวลาตั้งค่า
  • ตั้งชื่อโปรเจกต์และเลือกมุมมองที่ต้องการ (เช่น List, Board, Calendar, Timeline)
  • กำหนดสิทธิ์การเข้าถึง
    • Public – ทุกคนในทีมสามารถเห็นโปรเจกต์
    • Private – จำกัดการเข้าถึงเฉพาะสมาชิกที่เกี่ยวข้อง
  • คลิก “Share” เพื่อเชิญสมาชิกในทีมเข้าร่วม โดยสามารถเชิญผ่านอีเมลหรือแชร์ลิงก์

แบ่งงานย่อยและกำหนดผู้รับผิดชอบ

หลังจากตั้งค่าโปรเจกต์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างงานและจัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้น เพื่อให้ทีมสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น

  • สร้าง Tasks (งานหลัก) แล้วจัดกลุ่มด้วย Sections หรือ Columns เช่น
    • To-Do – งานที่ต้องทำ
    • In Progress – งานที่กำลังดำเนินการ
    • Done – งานที่เสร็จเรียบร้อย
  • เพิ่ม Subtasks (งานย่อย) ในแต่ละงานหลัก เพื่อแบ่งงานออกเป็นส่วนเล็ก ๆ
  • กำหนด Due Date (วันครบกำหนด) เพื่อให้ทีมรู้ว่าต้องส่งงานเมื่อไร
  • มอบหมายงานให้ผู้รับผิดชอบ (Assignee) เพื่อให้แต่ละงานมีเจ้าของที่ดูแล
  • ใช้ Task Dependencies เพื่อระบุว่างานใดต้องทำก่อน-หลัง เพื่อป้องกันความสับสนในการจัดลำดับงาน

ติดตามความคืบหน้าและอัปเดตสถานะ

เมื่อทีมเริ่มทำงานแล้ว การติดตามความคืบหน้าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกงานดำเนินไปตามแผนและไม่มีปัญหาค้างคา

  • ดูภาพรวมของงานผ่านมุมมองต่าง ๆ เช่น
    • List View – มุมมองแบบรายการ
    • Calendar View – ดูกำหนดการทั้งหมดของโปรเจกต์
    • Timeline View – มุมมอง Gantt Chart ช่วยวางแผนงานได้ชัดเจน
  • ใช้ Status Updates เพื่อแจ้งทีมเกี่ยวกับความคืบหน้าของโปรเจกต์
  • พูดคุยและให้ฟีดแบ็กผ่าน Task Comments และ Project Conversations แทนการใช้อีเมล
  • ติดตามงานและการแจ้งเตือนทั้งหมดผ่าน Inbox
  • ใช้ Dashboards และ Reporting เพื่อดูข้อมูลสถิติ วิเคราะห์ประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำงานของทีม

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการใช้แพลตฟอร์ม Asana

Asana เหมาะกับใคร

เหมาะสำหรับทุกทีมและทุกขนาดองค์กร ตั้งแต่สตาร์ตอัปไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะทีมที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน

Asana ราคาเท่าไร

Asana มีหลายแผนให้เลือกใช้งานตามความต้องการของแต่ละทีม

  • แผน Personal (ฟรีตลอดไป)
  • เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปและทีมขนาดเล็ก (สูงสุด 10 คน)
  • แผน Starter ($10.99/ผู้ใช้/เดือน – จ่ายรายปี)
  • รองรับทีมขนาดสูงสุด 500 คน และรองรับ Automations สูงสุด 250 รายการต่อเดือน
  • แผน Advanced ($24.99/ผู้ใช้/เดือน – จ่ายรายปี)
  • เหมาะสำหรับองค์กรที่บริหารโปรเจกต์หลายแผนกพร้อมกัน รองรับ Automations สูงสุด 25,000 รายการต่อเดือน
  • แผน Enterprise (ติดต่อฝ่ายขายเพื่อขอราคาเฉพาะองค์กร)
  • ไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้ มีฟีเจอร์พิเศษ และรองรับการจัดการองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง
  • แผน Enterprise+ (ติดต่อฝ่ายขายเพื่อขอราคาเฉพาะองค์กร)
  • เหมาะกับองค์กรที่ต้องการการรักษาความปลอดภัยระดับสูง เช่น HIPAA Compliance, Audit Log, และ Data Residency (US, EU, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น)

> อัปเดตข้อมูลแพ็กเกจราคาแพลตฟอร์ม Asana 

ทีมมีความสุขหลังใช้ Asana ช่วยบริหารจัดการงาน จนโปรเจกต์สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับทั้งระบบการทำงานและกลยุทธ์การตลาดไปพร้อมกัน Primal พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์เพื่อช่วยให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่น โดยเราไม่ได้เป็นแค่เอเจนซีรับทำ SEO ธรรมดา แต่เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทั้งระบบการจัดการงานและกลยุทธ์การตลาดแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณได้ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย ! สนใจปรึกษา สามารถกรอกรายละเอียดเพื่อให้ทีมกลยุทธ์ของเราติดต่อกลับหาคุณได้เลยตอนนี้

แชร์บทความนี้