เจาะลึก Digital PR และ Traditional PR สำหรับแบรนด์ยุคใหม่
Key Takeaways
การทำ PR ในยุคดิจิทัลไม่ใช่การเลือกระหว่าง Traditional PR หรือ Digital PR แต่คือการผสมผสานทั้งสองแนวทางให้สอดคล้องกัน เนื่องจาก Traditional PR ยังคงมีบทบาทในการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือระยะยาว ส่วน Digital PR ช่วยให้แบรนด์สื่อสารได้รวดเร็ว วัดผลได้จริง และสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคผ่านข้อมูลและคอนเทนต์ที่มีคุณค่า การบูรณาการทั้งสองกลยุทธ์เข้าด้วยกันจะช่วยให้แบรนด์สร้าง Brand Presence (การมีตัวตนของแบรนด์ที่ลูกค้าจดจำได้) ที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมทุกช่องทาง และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์
การประชาสัมพันธ์ (Public Relations) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ สื่อสารแบรนด์ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรกับกลุ่มเป้าหมาย แต่ในยุคที่สื่อออนไลน์กลายเป็นศูนย์กลางของการสื่อสาร แนวทางการทำ PR จึงได้เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิมสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว ทำให้หลายแบรนด์เริ่มตั้งคำถามว่า Digital PR กับ Traditional PR แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับองค์กรในยุคนี้มากกว่ากัน
Table of Contents
Traditional PR คืออะไร ?
Traditional PR หรือการประชาสัมพันธ์แบบดั้งเดิม คือการเผยแพร่ข้อมูลและภาพลักษณ์ขององค์กรผ่านสื่อกระแสหลัก (Mass Media) เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ แมกาซีน ไปจนถึงกิจกรรมอีเวนต์และงานแถลงข่าวต่าง ๆ
โดยในการทำประชาสัมพันธ์แบบดั้งเดิมนั้น องค์กรจำเป็นต้องอาศัยคอนเน็กชันที่ดีกับผู้สื่อข่าวและกองบรรณาธิการ เพื่อให้เนื้อหาถูกนำเสนอในพื้นที่ข่าว ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม Traditional PR ยังมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน เช่น
- สร้างความน่าเชื่อถือระยะยาว ผ่านสื่อที่ผู้บริโภคไว้วางใจ
- เข้าถึงกลุ่มผู้ชมวงกว้าง (Mass Audience) โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้ใช้ออนไลน์
- เสริมภาพลักษณ์องค์กร (Corporate Image) ให้ดูเป็นทางการและมั่นคง
แต่ก็มีข้อจำกัดคือการวัดผลที่ทำได้ยาก เช่น ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าผู้ชมมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อข่าวหรือกิจกรรม และต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ในเชิงการรับรู้ของแบรนด์
Digital PR คืออะไร ?
Digital PR คือวิวัฒนาการของการประชาสัมพันธ์ที่นำกลยุทธ์ออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการสื่อสารแบรนด์ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์, Facebook, Twitter (X), YouTube, Blog รวมถึงการใช้ Influencer Marketing
จุดแข็งของ Digital PR คือสามารถ “วัดผลได้ชัดเจน” ด้วยข้อมูลจริง ทั้งในเชิงการมองเห็นและการตอบสนองของผู้บริโภค เช่น
- Engagement Rate : การมีส่วนร่วมของผู้ติดตาม เช่น การกดไลก์ กดแชร์ หรือคอมเมนต์
- Traffic : จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือบทความที่มาจากสื่อ PR
- Conversion Rate : การเปลี่ยนจากการรับรู้แบรนด์ไปสู่การกระทำ เช่น การสมัคร การซื้อ หรือการติดต่อ
นอกจากนี้ Digital PR ยังโดดเด่นในด้านความรวดเร็วและการปรับตัว เพราะแบรนด์สามารถใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นบนช่องทางที่นำเสนอคอนเทนต์ เพื่อต่อยอดในด้านต่าง ๆ เช่น
- Data Analytics : วิเคราะห์ผลลัพธ์และแนวโน้ม
- Social Listening : ตรวจจับกระแสและความคิดเห็นของผู้บริโภค
- Storytelling : เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่เล่าเรื่องอย่างมีอารมณ์ร่วมและเข้าถึงใจ
จึงกล่าวได้ว่า การทำ Digital PR คือเครื่องมือประชาสัมพันธ์ยุคใหม่ ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถ “ฟัง-พูด-วัดผล” ได้ครบในที่เดียว
เปรียบเทียบ Digital PR กับ Traditional PR ต่างกันอย่างไร ?
| หมวดหมู่ | Traditional PR | Digital PR |
|---|---|---|
| ช่องทางหลัก | “สื่อกระแสหลัก, ออฟไลน์” | “สื่อออนไลน์, Social, Influencer” |
| กลุ่มเป้าหมาย | กว้าง (Mass) | “เฉพาะเจาะจง, วัดผลชัดเจน” |
| ความเร็วสื่อสาร | ช้า | เร็ว ติดตามผลได้ทันที |
| วัดผลในแคมเปญ | “ยาก, ปริมาณข่าว” | “KPI, Data Analytics” |
| งบประมาณ | สูง | ยืดหยุ่นตามกลยุทธ์ |
| เทคนิคเด่น | “Press Release, Event” | “SEO, Storytelling, Collaboration” |
แนวทางการทำ PR ยุคใหม่สู่ Digital Growth PR
การทำ PR ในยุคดิจิทัลไม่ใช่การเลือกข้างระหว่าง Traditional หรือ Digital แต่คือการผสมผสานทั้งสองแนวทางเข้าด้วยกัน เพื่อให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างครอบคลุมและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในทุกช่องทาง
ใช้ Data และ Analytics วางแผนอย่างแม่นยำ
Data คือหัวใจของการทำ PR ยุคใหม่ เนื่องจากแบรนด์สามารถนำข้อมูลจากการเข้าชมเว็บไซต์ การพูดถึงบนโซเชียล และสถิติการมีส่วนร่วม มาวิเคราะห์เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสารให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น
ฟังเสียงผู้บริโภคด้วย Social Listening
การใช้เครื่องมือ Social Listening ช่วยให้แบรนด์เข้าใจเสียงจริงของผู้บริโภค ทั้งในด้านความคิดเห็น เทรนด์ หรือกระแสสังคม และเมื่อเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง ก็จะสามารถวางแผนสื่อสารเชิงรุกและรับมือกับวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร่วมมือกับ Influencer และ Creator อย่างมีกลยุทธ์
ความร่วมมือกับ Influencer ไม่ได้เป็นเพียงการจ้างโพสต์ แต่คือการเลือกผู้ที่สอดคล้องกับบุคลิกและคุณค่าของแบรนด์ เพื่อสร้างเนื้อหาที่เป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ ทำให้การสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง
สร้าง Brand Storytelling ที่เชื่อมโยงอารมณ์
Storytelling คือเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างมีชีวิตชีวา แทนที่จะพูดถึงผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่การเล่าเรื่องในมุมที่มีอารมณ์ ความจริงใจ และสอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ จะช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภคได้มากกว่า
ผสานการสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์
การทำ PR ที่ดีในปัจจุบันต้องสร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การจัดอีเวนต์ที่สามารถสื่อสารได้ต่อบนโซเชียลมีเดีย หรือการนำคอนเทนต์ออนไลน์ไปต่อยอดในกิจกรรมจริง เพื่อให้แบรนด์คงภาพลักษณ์เดียวกันในทุกมิติ
ตัวอย่างการทำ PR จากแบรนด์ต่าง ๆ
หลายแบรนด์ระดับโลกได้พิสูจน์แล้วว่า การเปลี่ยนจาก Traditional PR สู่ Digital PR ไม่ได้แค่ช่วยให้สื่อสารได้เร็วขึ้น แต่ยังสร้าง “ผลลัพธ์ทางธุรกิจ” ที่วัดได้จริงในระยะยาว
ตัวอย่างจากแบรนด์ระดับโลก
หนึ่งในกรณีศึกษาที่เห็นชัดคือ Starbucks ที่นำกลยุทธ์ Digital PR มาใช้ในช่วงเกิดกระแสวิจารณ์ในโลกออนไลน์ แบรนด์เลือกที่จะชี้แจงทันทีผ่านโซเชียลมีเดีย แทนการออกข่าวผ่านสื่อหลัก วิธีนี้ช่วยลดความเสียหายของภาพลักษณ์และทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์ “ฟังและตอบ” ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ Traditional PR ไม่สามารถทำได้ทันเวลา
การใช้ Data ขับเคลื่อนการสื่อสาร
อีกตัวอย่างคือ Nike ที่ใช้ข้อมูลจาก Social Listening วิเคราะห์เทรนด์และบทสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ก่อนจะพัฒนาแคมเปญ “Move to Zero” เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน แคมเปญนี้ได้รับการพูดถึงทั่วโลกและกลายเป็นตัวอย่างของ PR ที่ใช้ Data สร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่แบรนด์
การทำ PR ในประเทศไทย
ในไทยเอง หลายองค์กร เช่น ธนาคารและแบรนด์เทคโนโลยี เริ่มใช้ Digital PR และ SEO Content เพื่อผลักดันแบรนด์ให้ติดอันดับบน Google กันมากขึ้น พร้อมสร้างกระแสในโลกโซเชียล ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่ออกคอนเทนต์เชิงวิชาการหรือให้ความรู้ด้านการเงิน สามารถขยายกลุ่มผู้ติดตามและสร้างความเชื่อถือได้โดยไม่ต้องพึ่งสื่อกระแสหลัก
ในโลกการตลาดยุคใหม่ Digital PR คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารได้รวดเร็ว วัดผลได้จริง และต่อยอดสู่ยอดขาย แต่ Traditional PR ก็ยังมีคุณค่ากับการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในระยะยาว ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การเลือกเพียงแบบใดแบบหนึ่ง แต่คือการบูรณาการทั้งสองแนวทางอย่างเหมาะสมเพื่อสร้าง Brand Presence ที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมทุกมิติ และสร้าง Topical Authority บนโลกออนไลน์ในระยะยาว
หากองค์กรของคุณต้องการยกระดับกลยุทธ์การสื่อสารให้เหนือกว่าคู่แข่ง ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Primal พร้อมช่วยออกแบบแนวทางการประชาสัมพันธ์ที่ครบวงจร ตั้งแต่การวางแผนทำ Digital PR ควบคู่ไปกับการรับทำ AI SEO และรับทำกลยุทธ์ AI Search เพื่อสร้างการมองเห็นของแบรนด์ในทุกช่องทางออนไลน์อย่างยั่งยืน ด้วยประสบการณ์จริงในการทำงานกับแบรนด์ชั้นนำระดับประเทศ
ข้อมูลอ้างอิง
- สร้างแบรนด์ให้น่าจะจดจำด้วยการทำ PR Storytelling. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.popticles.com/communications/pr-storytelling-to-make-memorable-brand/
- ทักษะ PR ยุคใหม่ ต้องปรับตัวอย่างไร?. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จาก https://everydaymarketing.co/brand/pr-in-the-digital-era-be-adapted/
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Digital PR vs Traditional PR (FAQs)
Q : Digital PR เหมาะกับธุรกิจประเภทไหนมากที่สุด ?
A : เหมาะกับทุกธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือใช้กลยุทธ์คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง เพราะ Digital PR สามารถวัดผลและปรับแคมเปญได้อย่างรวดเร็ว
Q : Traditional PR ยังจำเป็นอยู่ไหมในยุคดิจิทัล ?
A : จำเป็นแน่นอน โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ หน่วยงานรัฐ หรือแบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในวงกว้าง การสื่อสารผ่านสื่อกระแสหลักยังช่วยเสริมความเป็นทางการได้ดี
Q : Digital PR ต่างจากการทำการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) อย่างไร ?
A : Digital PR มุ่งสร้างชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ระยะยาว ขณะที่ Digital Marketing มุ่งสร้างยอดขายหรือ Conversion เป็นหลัก ทั้งสองแนวทางจึงควรทำควบคู่กันเพื่อผลลัพธ์ที่ครบวงจร
Q : ควรเริ่มต้นทำ Digital PR อย่างไรถ้าแบรนด์ยังไม่มีทีม PR ภายใน ?
A : เริ่มจากการวางกลยุทธ์ร่วมกับเอเจนซีที่เชี่ยวชาญ เช่น Primal เพื่อช่วยกำหนดเป้าหมาย วางแผนสื่อ และสร้างคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมวัดผลแคมเปญด้วย Data Analytics
Q : ทำไมการผสาน Traditional PR และ Digital PR ถึงสำคัญ ?
A : เพราะผู้บริโภคยุคใหม่รับข้อมูลทั้งจากออนไลน์และออฟไลน์ การบูรณาการทั้งสองแนวทางช่วยให้แบรนด์สื่อสารอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างยั่งยืน
Join the discussion - 0 Comment